Pangaea Organic Garden โอบอุ้มโลกด้วยเกษตรอินทรีย์
สัมภาษณ์ 18 กุมภาพันธ์ 2566
น้องจีรนันท์ บุญครอง ลูกหลานครอบครัวเกษตรกรอำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ เป็นอีกหนึ่งคนในกระแสแรงงานคืนถิ่น เป็นเวลา 50 ปีกว่าที่กรุงเทพเป็นเมืองเป้าหมายปลายทางของการศึกษา และคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในช่วง 10 ปีหลัง การเรียนจบระดับอุดมศึกษาไม่ได้รับรองถึงการมีงานทำ หรือค่าตอบแทนที่มากพอกับค่าครองชีพ และเงินออมสำหรับอนาคตอีกต่อไป ในฐานะลูกเกษตรกร จีรนันท์ได้เรียนรู้ และใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ความรู้ และประสบการณ์ที่ส่งแรงผลักให้จีรนันท์เห็นเป้าหมายชีวิตที่บ้านมากกว่าในเมืองกรุงเทพฯ คือการสร้างต้นแบบเกษตรกรผู้ผลิตอาหารจากเกษตรอินทรีย์ที่มีชุมชนผู้บริโภคเป็นเพื่อน
คิดจะกลับบ้านมาเป็นเกษตรกร ตั้งแต่เมื่อไร
ตอนเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่ได้คิดเรื่องจะเป็นเกษตรกร หรือจะกลับมาพัฒนาชุมชน ตอนจะสอบเข้า คิดว่าไม่อยากทำงานเหนื่อย เหมือนพ่อแม่ มันดูเป็นอาชีพที่เหนื่อย ไม่ค่อยได้เงิน ฐานะไม่ดีขึ้น จึงอยากเรียนคณะอะไรที่ทำงานใช้สมอง อยู่ในห้องแอร์สบาย ๆ มีเงินเดือน
แต่เมื่อเรียนที่เศรษฐศาสตร์ เรียนกรณีศึกษาต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องราวของชนบท บ้านเราเอง ได้เห็นว่าองค์ประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจากชนบทด้วย และในยามวิกฤต ผู้ได้รับผลกระทบมาก คือเกษตรกรที่บ้านเรา ช่วงราคาข้าวตกต่ำ อาจารย์ยกกรณีนี้ขึ้นคุยในห้องเรียน เรามองปัญหาในฐานะเราเป็นเกษตรกร ในอีกด้าน ชั่วโมงเรียนเรื่องการตลาด เราก็ได้เห็นความสำเร็จของเกษตรแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่แบบรุ่นพ่อแม่ทำ โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ จึงสนใจมาตลอด และเป็นหนึ่งแผนของชีวิตหลังจบปริญญาตรีในปี 2561
ลองทำงาน และใช้ชีวิตในกรุงเทพนานไหม
หลังเรียนจบ ได้ฝึกงานที่ไร่เกษตรอินทรีย์แห่งหนึ่งที่เชียงราย การฝึกงานเหมือนเป็นคอร์สเตรียมตัวกลับบ้าน ได้เห็นภาพชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เพื่อนพูดว่า ถ้ารู้ว่าชอบอะไร ทำไมไม่ทำทันที เราก็คิดตาม เช็คเหตุผลทั้งหมดว่า มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้เราอยู่กรุงเทพฯ ที่บ้านไม่ขอให้เราส่งเงินกลับบ้าน ที่บ้านอยากให้เรากลับบ้าน อยู่กับแม่ หลังจากพ่อเสียชีวิตแล้ว อยู่กรุงเทพไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าไม่ใช่ คนอื่นอยู่กรุงเทพได้ แต่ไม่ใช่เรา เรามีที่ดินของตัวเอง ที่บ้านไม่มีใครทำแทนเราได้ ที่บ้านอยู่ 4 คน นัน ย่า แม่ และน้องชาย น้องชายจบปริญญาตรี ทำงาน 1 ปี แล้วกลับบ้าน เช่นกัน

ได้ลงมือทำ 4 ปีไปถึงขั้นไหนของเป้าหมาย และเห็นปัญหาอะไรบ้าง
ปัญหาพื้นฐานของเกษตรกร คือ เราต้องขายในราคาต่ำ กำหนดราคาเองไม่ได้ เพราะขายผ่านพ่อค้าคนกลาง เกษตรกรจึงไม่รู้จักลูกค้า ด้านลูกค้า หรือผู้บริโภค ไม่รู้ว่าใครปลูก การขนส่ง กระบวนการผลิตส่งผลกับสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
ที่ทำอยู่คือ ทำแบบอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และใช้ปุ๋ยคอก ลูกค้าเชื่อใจเรา พอใจกระบวนการผลิตของเรา เรามีความซื่อสัตย์กับลูกค้า เลือกแนวทาง CSA (Community Support Agriculture) การทำเกษตรแบบเกื้อกูล เพราะอยากให้ผู้ผลิต กับลูกค้า ผู้บริโภครู้จักกัน ร่วมมือกัน ทำเกษตรแบบเกื้อกูล และยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เน้นระยะทางใกล้ๆ ในสุรินทร์ มีมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมเป็นพี่เลี้ยง และคุณปารีณา Bangkok Rooftop Farming คอยแนะนำ และได้การสนับสนุนจากโครงการของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ทำโครงการปุ๋ยหมัก และปลูกผัก ส่งร้านค้าในชุมชน เพื่อลดการซื้อผักในตลาด ได้การสนับสนุนเป็นเครื่องจักร คือเครื่องสับหญ้า เครื่องผสม เครื่องอัดเม็ด เครื่องตีป่น
แผนงานที่จะทำปีนี้ คือ ตอนนี้ชาวบ้านใช้ปุ๋ยเคมีในนาข้าว ราคาแพงขึ้น 2-3 เท่า เป็นจังหวะที่ดี ที่จะเปลี่ยนการใช้ปุ๋ย ดังนั้น จะทำปุ๋ยคอกขาย เพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุน และเพิ่มมูลค่าของวัตถุดิบ (raw material) ในพื้นที่
ตามเป้าหมายยังอยู่ในขั้นสื่อสารให้ลูกค้ารู้จักเรา จากที่ไม่มีใครรู้จัก ทำเพจ Pangaea Organic Garden 2 ปีแล้ว มีผู้ติดตามเป็นคนเมือง คนกรุงเทพฯ พัฒนางานมา 4 ปี เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก อยากทำให้ได้ใน 10 ปี
การปลูกผักขาย มีปัญหาพื้นฐานคือ ไม่ควรใช้เวลาขนส่งนาน ส่งตลาดเมืองสุรินทร์ 40 กิโลเมตร เคยส่งผักเข้ากรุงเทพฯ ผักเสียหายเยอะ ตลาดใกล้บ้านอีกหน่อยเป็นตลาดนัดคลองถม โรงพยาบาลจอมพระ จุดที่ใกล้กว่า แต่มีแผงผักทั่วไป ต้องขายแข่งกับผักทั่วไป เพราะราคาผักอินทรีย์สูงกว่า ดังนั้น เราต้องบริหารตลาด 2 ราคา เพื่อถัวเฉลี่ยรายได้ กลุ่มชาวบ้าน เราจะขายราคาถูกกว่า กลุ่มสอง หาลูกค้าที่รับราคาแพงได้ ดังนั้น ต้องสื่อสาร แสวงหาลูกค้าที่รับราคาได้ เช่นตอนนี้ มีลูกค้าสั่งมะเขือ 10-20 กิโลกรัม ต่อสัปดาห์ เพื่อนบ้านเริ่มเห็นภาพ เริ่มขอต้นกล้าปลูกมะเขือเทศเพิ่ม เรารับซื้อในราคาแพงขึ้น เทียบกับเมื่อก่อนเคยชักชวนแต่ไม่ได้รับความสนใจ ตอนนี้มะเขือเทศจึงเป็นตัวชูโรงของ Pangaea Organic Garden
ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร หรือหน่วยงานในจังหวัดหรือไม่
กลับบ้านมาพบกับความจริง เราอยากเห็นความเจริญ เราต้องจัดการเองตั้งแต่ตอนนี้ เราต้องสร้างเอง ไม่ใช่รอ อบต.รอหน่วยงานสนับสนุน เพราะว่าหน่วยงานส่งเสริมในสิ่งที่ชุมชนไม่มี ไม่ได้ทำ อีกทั้งการสนับสนุนเหมือนเป็นนักลงทุน จะสนับสนุนต่อเมื่อเกษตรกรประสบผลสำเร็จ ไม่ได้ช่วยเหลือเรา Startup สู้ไปด้วยกัน ข้อสรุปคือ รอให้ชุมชนดีขึ้นเองไม่ได้ แต่เราจะลงมือเอง รอนโยบายรัฐมาทำราคาข้าวสูงขึ้นไม่ได้ แต่เราทำให้ลูกค้าพอใจกับผลผลิตที่มีคุณภาพ เราก็รอด

เรื่องดินฟ้าอากาศ โลกร้อน ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง รับมืออย่างไร
ได้รับผลกระทบมาก ๆ สุรินทร์เป็นพื้นที่แห้งแล้งอยู่แล้ว เราอยู่นอกเขตชลประทาน ต้องบริหารจัดการน้ำ เพราะน้ำฝนไม่พอ ภาวะโลกรวน อากาศแปรปรวน โรค แมลงเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นด้วย และค่าขนส่งแพงขึ้น เราทำผักสด คือมะเขือเทศ อากาศร้อนเป็นปัญหาด้วย อาจจะต้องปรับเปลี่ยนเป็นมะเขือเทศแปรรูป

ในฐานะเกษตรกรรุ่นใหม่ มองย้อนชีวิตในมหาวิทยาลัย 4 ปี
เรียนเอกธุรกิจ โทการตลาด ได้คะแนนกลาง ๆ เพื่อนที่เรียนด้วยกันได้งานทำในกรุงเทพฯ กันทุกคน 4 ปีคือความรู้ที่เราสะสมไปใช้ที่บ้าน ธรรมศาสตร์สอนให้เราคิดถึงสังคม เห็นภาพรวมของสังคม และประเทศไทย ได้รู้จักเพื่อนหลายคณะ และได้ทำงานอาสาในชมรมรวมทั้งอาจารย์ที่สอนก็ยังติดต่อสอบถามกันตลอด
ตอนนี้ความสุขคืออะไร
พอใจกับผลผลิต มีความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย เวลาอยู่กับธรรมชาติ เครียดน้อยลง ตลาดมีความแน่นอน และครอบครัวได้ทานผลผลิตที่ปลอดภัยด้วย รวมทั้งกลุ่มสมาชิกมีการพัฒนาขึ้น ลูกค้าสนใจเพิ่มขึ้น
