Skip to content
เสริมสุขภาวะที่เป็นธรรม สร้างพลังแรงงานนอกระบบ

ผลงานวิจัยล่าสุด “โลกเดือด” เพิ่มจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดให้โลกอีก 26 วัน แต่ไทยได้มากกว่า

ผลงานวิจัยล่าสุด “โลกเดือด” เพิ่มจำนวนวันที่อากาศร้อนจัดให้โลกอีก 26 วัน แต่ไทยได้มากกว่า

ประสาท มีแต้ม
Thai Climate Justice For ALL

คำว่า “โลกเดือด (Global Boiling)” คือคำที่เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (นายอังตอนียู กูแตรึช) ใช้เป็นครั้งแรกเมื่อกลางปี 2566 เพื่อแทนคำว่า “โลกร้อน (Global Warming)” โดยมีความต้องการเตือนชาวโลกว่าอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นกว่าเดิม มันเลยคำว่าร้อนจนกลายเป็นเดือดแล้ว มาตรการต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกร้องให้ชาวโลกร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจกตาม “ข้อตกลงปารีส” ตั้งแต่ปี 2558 นั้น โดยภาพรวมทั้งโลกแล้ว นอกจากจะไม่ได้ลดลงแล้ว ยังกลับปล่อยมากกว่าเดิมเสียอีก

ชื่อบทความข้างต้นนี้ ผมนำมาจากผลงานวิจัยที่เพิ่งค้นพบ โดยใช้ข้อมูลจากทั่วโลก 5 ทวีป (ยกเว้น Antarctica) มาวิเคราะห์ และที่น่าสนใจมากคือเป็นข้อมูลล่าสุดนับถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 แล้วย้อนหลังไป 12 เดือน เรียกว่าสดๆร้อนๆ เพียงไม่ถึง 15 วันก่อนวันที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้

ผลงานนี้มาจากการวิจัยของ 3 องค์กรซึ่งเพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม นี่เอง เพื่อต้อนรับวัน “วันปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาความร้อน (Heat Action Day)” ซึ่งตรงกับวันที่ 2 มิถุนายนของทุกปี ผมมีภาพปกของรายงาน(ขนาด 14 หน้า) พร้อมผลสรุปที่สำคัญดังกล่าว (ดูภาพประกอบ)

ผลการวิจัยซึ่งใช้ข้อมูลในช่วง 15 พ.ค.2566-15 พ.ค.2567 พบว่า

  • ในขณะที่โลกร้อนขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คลื่นความร้อนก็เกิดบ่อยขึ้น นานขึ้นและแรงขึ้น โดยคลุมพื้นที่เกือบทั่วโลก
  • ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ได้เพิ่มจำนวนวันที่เกิดคลื่นความร้อนนานขึ้นอีก 26 วัน (เฉลี่ยทั่วทั้งโลก) แต่ประเทศไทยเราเพิ่มขึ้น 59 วัน เวียดนาม 57 วัน
  • เกิดคลื่นความร้อนรวม 76 ครั้ง ใน 90 ประเทศ
  • 6.3 พันล้านคน(78%ของประชากรโลก) ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนนานอย่างน้อย 31 วัน

ผมขอขยายความอย่างสั้นๆของสาระที่ได้ค้นพบในประเด็นแรก คือความหมายของคลื่นความร้อน (Heat Wave) หรือ สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง คลื่นความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือที่ท่านเลขาธิการองค์การสหประชาชาติเรียกว่า โลกเดือด

การเกิดของคลื่นความร้อนซึ่งเป็นสภาพที่เกิดจากความกดอากาศสูงก่อตัวเป็น “ฝาชี” ขนาดใหญ่ บางครั้งขนาดใหญ่เท่าทวีป ทำหน้าที่เป็นฝาชีขังและกดให้มวลของอากาศร้อนอยู่ใกล้ผิวดินมากขึ้น อากาศที่อยู่ใกล้ตัวเราจึงร้อนขึ้นอีกตามหลักของวิชาฟิสิกส์ (อุณหภูมิอากาศสูงขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเองเท่านั้น ที่เรียกว่า ดัชนีความร้อน-Heat Index ซึ่งคิดร่วมกับปัจจัยความชื้นของอากาศมาประกอบด้วย)

ผลกระทบจากคลื่นความร้อนในทวีปยุโรปเมื่อปี 2546 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 หมื่นคน สถิติบอกเราว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดจากคลื่นความร้อนมีจำนวนมากที่สุดในบรรดาภายพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลาย  ในประเทศไทยเราเอง นับรวมถึงสิ้นเดือนเมษายนปีนี้ พบผู้ชีวิตจากอากาศร้อนจัดแล้ว 30 คน ในขณะที่ของปี 2566 ทั้งปีมีจำนวน 37 คน นี่ยังไม่ได้นับถึงภัยแล้งและความเสียหายทางการเกษตร

ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์หลายสำนัก หลายคณะสรุปไว้ตรงกันว่า “ถ้าไม่มีสถานการณ์โลกร้อน การเกิดขึ้นของคลื่นความร้อนจะลดลง”  แต่ผลงานวิจัยที่ผมกล่าวถึง(ที่ผมเคยติดตามศึกษา)เป็นการศึกษาด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์   ผลวิจัยจึงขึ้นอยู่กับสมมุติฐานของผู้วิจัยและมีความคลาดเคลื่อนในขอบเขตที่ยอมรับกันได้ระดับหนึ่งในทางวิชาการ

แต่งานวิจัยที่ผมอ้างถึง(ในภาพข้างต้น) เป็นการศึกษาโดยใช้ข้อมูลที่ได้เกิดขึ้นแล้วจริง  โดยถือว่า หากอุณหภูมิของอากาศของแต่ละประเทศในแต่ละวันในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศที่ได้ถูกจัดว่าร้อนแล้ว(มากกว่า 90% ของข้อมูล) ของในช่วงปี 2534-2563 โดยผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบจากผู้เชี่ยวชาญ (Peer-Reviewed) จึงจะนับว่าเป็นวันที่ร้อนจัด

คณะผู้วิจัยสรุปว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ส่งผลให้ทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีจำนวนวันที่อากาศร้อนสุดขั้วเพิ่มขึ้นอีก 26 วันเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีสถานการณ์โลกร้อน”

ผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วประเทศซูรินาม(Suriname-ประเทศซึ่งมีประชากรประมาณ 5.5 แสนคน ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ประชิดกับประเทศบราซิล มีจีดีพีต่อหัวประชากรน้อยกว่าของประเทศไทย) จะเกิดคลื่นความร้อน 24 วัน (ในช่วง 12 เดือนดังกล่าว) แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำนวนวันที่เกิดคลื่นความร้อนได้เพิ่มเป็น 182 วัน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เท่าตัว น่าตกใจใช่ไหมครับ

ผลงานวิจัยนี้ยังได้แนบไฟล์ที่ทำให้เราสามารถสืบค้นได้ว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาแต่ละประเทศมีจำนวนวันที่ร้อนจัดเพิ่มขึ้นกี่วัน  ผมจึงได้สรุปของบางประเทศมาให้ดูในตารางพร้อมกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรในปี 2565 มาเทียบให้ดูด้วย (หมายเหตุ มีบางข้อมูลมีความคลาดเคลื่อนไปจากเนื้อหาไปจาก Text ที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งอาจจะเกิดจากความเข้าใจผิดของผมเอง ต้องขออภัย แต่ไม่ใช่สาระสำคัญมากนัก)

จากตารางพบว่าสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก หากไม่มีปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดคลื่นความร้อนเพียง 20 วัน (ในรอบ 12 เดือน) แต่ในความเป็นจริงได้เกิดขึ้น 39 วัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าตัว

ในทำนองเดียวกันประเทศไทยเราเอง ควรจะเกิดคลื่นความร้อนเพียง 24 วัน แต่ความจริงได้เกิดขึ้นนานถึง 83 วัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 59 วัน มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึงกว่า 2 เท่าตัว

จากตารางดังกล่าว เราจะเห็นว่า โดยส่วนใหญ่ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรสูง แต่มีจำนวนวันที่เกิดคลื่นความร้อนเพิ่มขึ้นน้อย ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของระบบภูมิอากาศของโลก ไม่ใช่เรื่องที่เราจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เป็นเรื่องเราจะต้องมุ่งมั่นร่วมมือกันลดและขจัดปัญหาร่วมกัน ตามข้อตกลงปารีส

นอกจากนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ นอกจากจะทำให้ต้นทุนในการผลิตพลังงานลดลงแล้ว มลพิษทางอากาศก็จะลดลงด้วย คุณภาพชีวิตของทุกคนก็จะดีขึ้น ผู้ที่จะสูญเสียมีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นคือ พ่อค้าพลังงานฟอสซิลเท่านั้นที่ขาดรายได้ไป

อนึ่ง ผมเข้าใจว่าผลงานวิจัยชิ้นนี้ออกมาเพื่อรับกับวัน “Heat Action Day” ซึ่งตรงกับวันที่ 2 มิถุนายน ของทุกปี ผมจึงขอนำผลงานศิลปะของเยาวชนมาให้ดูกันด้วยครับ

ช่วยกัน ช่วยกัน ทุกคน ทุกเพศและทุกวัย ขอบคุณครับ

Share the Post: