Skip to content
เสริมสุขภาวะที่เป็นธรรม สร้างพลังแรงงานนอกระบบ

ขอโอกาสหาบเร่แผงลอย อยู่ในเมืองที่นับรวมทุกคน (inclusive city)

ขอโอกาสหาบเร่แผงลอย อยู่ในเมืองที่นับรวมทุกคน (inclusive city)

ขอโอกาสหาบเร่แผงลอย อยู่ในเมืองที่นับรวมทุกคน (inclusive city)

ช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีการจัดกิจกรรมหลายจุดในกรุงเทพฯ และรายงานข่าวที่น่าสนใจว่า แต่เดิมภาคเอกชนบนถนนสีลมร่วมจัดกิจกรรมเทศกาลสงกรานต์ช่วยให้เกิดรายได้เม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แต่ปีนี้ กทม.ไม่อนุญาตปิดถนนเพื่อจัดกิจกรรม ดังนั้นภาคเอกชน ร้านค้าต่าง ๆจัดกิจกรรมกันเอง นักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติจำนวนมากพากันเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเต็มทางเท้าและถนนสีลม หลังจากไม่ได้เล่นสาดน้ำกันมา 3 ปี เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด19

การงดกิจกรรมสงกรานต์ปีนี้ เหมือนเป็นสัญญาณว่า ถนนสีลมกำลังถูกจัดการใหม่ เพราะกทม.มีนโยบายห้ามผู้ค้าขายบนทางเท้าเด็ดขาด สร้างความตึงเครียดมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 การจัดการเช่นนี้สร้างผลกระทบต่อชีวิต และเศรษฐกิจของกลุ่มคนรายได้น้อย คือทั้งผู้ค้า และลูกค้าบนถนนแห่งนี้

ทุกวันนี้ ยามเย็น ถนนสีลมมีนักท่องเที่ยวเบาบางลง ผู้ค้าหาบเร่เหลือเพียง 30 กว่าแผง ผู้ค้าตั้งแผงแนวตั้งพิงติดกับบานประตูของร้านค้าซึ่งปิดร้านในช่วงเย็นแล้ว เป็นความพยายามปรับเปลี่ยนตามนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่น

ที่ไหนมีคนมาก ๆ ที่นั้น มีตลาด และมีชีวิต

ถนนสีลมเริ่มเป็นย่านธุรกิจสำคัญ ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังปี 2500 เป็นต้นมาเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หลายธุรกิจ โรงแรม ศูนย์การค้า และร้านอาหารจำนวนมาก ประการสำคัญคือมีความเป็นชุมชนหลากหลายศาสนา และวัฒนธรรม ถนนสีลมจึงเป็นถนนที่ไม่เคยหลับ เพราะเป็นสถานที่พักผ่อนสังสรรค์หลังเลิกงาน และที่ท่องเที่ยวของนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ที่ผ่านมารัฐบาล และกรุงเทพมหานคร ก็สนับสนุนรายได้จากการท่องเที่ยวบนถนนสายนี้ เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กิจกรรมถนนคนเดินจัดขึ้นหลายครั้งถึงปีล่าสุดคือ 2562 เป็นถนนที่สร้างรายได้เศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเช่นเดียวกับถนนข้าวสาร และถนนเยาวราช

ผู้ค้าแผงลอยบนถนนสายนี้ มีอายุการขายยาวนานหลายสิบปี รับรู้ได้ว่าเศรษฐกิจแย่ลงทุก ๆ ปี และยังมีการค้าขายแก่งแย่งแข่งขันในตลาดออนไลน์ หลายแผงมีรายได้ลดลงครึ่งหนึ่ง ผู้ค้าต่างตระหนกตกใจ คาดไม่ถึงกับนโยบายของผู้บริหารปัจจุบัน เพราะหากตั้งแผงขายไม่ได้ จะหาความมั่นคงในชีวิต ครอบครัว และรายได้อย่างไร

ทศวรรษแห่งการเบียดขับหาบเร่แผงลอย

คำสั่งห้ามขายช่วงกลางวัน ช่วงค่ำขายได้ แต่ห้ามตั้งแผงขายบนทางเท้า เริ่มต้น 1 พฤศจิกายน 2557 และที่ส่งผลกระทบรุนแรง คือ คสช.สั่งห้ามขายบนทางเท้าทั้งหมด 600 ราย ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2559 ปลายปี 2562  รัฐบาลประกาศสนับสนุนผู้ค้าหาบเร่ รูปแบบ Walking Street เพราะเป็น 1 ใน 2 ย่านท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพฯ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเกิดการแพร่ระบาดโควิด19 จึงไม่เห็นรูปธรรมการสนับสนุนจากนโยบายอีกเลย

ปัจจุบันผู้ค้าทยอยปิดแผง จาก 200 แผง เหลือ 30 กว่าแผง เพราะแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว ผู้ค้าที่เหลือยังคงร่วมประชุมให้ความร่วมมือทำตามที่ผู้บริหารท้องถิ่นต้องการ ผู้ค้าทำตามคำสั่ง ปรับลดขนาดแผง 1.50 เมตร เป็นวางแผงได้ 60 เซ็นติเมตร ใต้ชายคา โดยแผงค้าต้องไม่รุกล้ำ มีทางเท้ากว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร และรักษาความสะอาด ต่อมาเดือนมกราคม 2566 ผู้บริหารท้องถิ่นลงพื้นที่ตรวจ และมีคำสั่งห้ามแผงลอยขายอย่างเด็ดขาด ทั้งๆ ผู้ค้าพยายามปรับทำแผงสินค้าแนวตั้งแขวนกับประตูอาคารต่าง ๆ

ล่าสุด ผู้บริหารท้องถิ่นอ้างจัดระเบียบโดยให้ผู้ค้าย้ายไปพื้นที่รองรับ ผู้ค้าถูกสั่งให้ย้ายไปจุดต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ของเอกชน เจ้าของอาคารลดราคาเช่า 150 บาทช่วงสั้น ๆ ราคาจริงคือ 600 บาท คำนวนค่าเช่า 2 ตารางเมตร คำนวนแล้วจะเพิ่มต้นทุนผู้ค้าเดือนละหมื่นกว่าบาท ผู้ค้าไปสำรวจทุกพื้นที่แล้ว ขายไม่ได้ มีผู้ค้าเดิมแน่นทุกพื้นที่แล้ว แต่ข่าวสารออกไปว่ามีพื้นที่รองรับแล้ว สรุปว่าผู้ค้าไม่ต้องการการย้ายไปพื้นที่ใหม่ เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีลูกค้าหรือไม่ และต้นทุนค่าเช่าเพิ่มขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นักท่องเที่ยวเบาบาง ทำให้รายได้ลดลงมาต่อเนื่อง การย้ายพื้นที่ขาย (Relocation) ความหมายคือ การไล่ที่ เป็นวิธีการ คลาสสิก ของบ้านเราเพื่อจัดการหาบเร่แผงลอย

กว่า 50 ปีแล้วที่หาบเร่แผงลอยเป็นจำเลยของสังคม เป็นผู้สร้างปัญหากีดขวางทางสัญจร ปัญหาจราจร และสร้างความสกปรก ประนามผู้ค้าว่าอ้างความยากจน ละเมิดสิทธิคนใช้ทางเท้า รุนแรงที่สุดคือการบังคับใช้กฎหมายทำให้ผู้ค่าเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต พึ่งตนเอง หากผู้ค้านับหมื่นรายไม่สามารถค้าขายได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ตลาดสด ร้านค้าส่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมทั้งนายทุนที่ยึดกุมสินค้าอุปโภคบริโภคล้วนมีรายได้จากผู้ค้ารายย่อยจำนวนหมื่นรายเหล่านี้

ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสีลม จับ ปรับ หาบเร่แผงลอยบนทางเท้า

โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสีลม คือที่มาของคำสั่งห้ามผู้ค้าแผงลอยบนทางเท้าถนนสีลม

ประกาศสำนักงานเขตบางรัก เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 ห้ามปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้า และติดตั้ง ตาก ว่าง หรือแขวนสิ่งใด ๆ ในที่สาธารณะด้วย สำนักงานเขตบางรัก กำลังดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ ถนนสีลม แต่พบว่าบริเวณทางเท้าถนนสีลมทั้งขาเข้าและขาออก มีการปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้า ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนี้มิได้รับอนุญาตให้เป็นพื้นที่ทำการค้าหรือขายหรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ และมีการติดตั้ง ตาก วางหรือแขวนสิ่งใดๆ ในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๒0(๑) และมาตรา ๓๙ แห่ง

พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น เพื่อให้ถนนสีลมมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 และมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พนักงานเจ้าหน้าที่จึงออกประกาศ ห้ามมิให้ผู้ใดปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้า ติดตั้ง ตาก วาง หรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่สาธารณะบริเวณทางเท้าถนนสีลมทั้งสองฝั่ง ทั้งนี้ตั้งแต่ ว้นที่ 17 มกราคม 2566 เป็นต้นไป หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผลงาน 365 วัน กทม.จะดูแลคนทุกกลุ่ม ควรมองหาบเร่แผงลอยอย่างไร

อาจมีคนมองภาพรวมว่า นโยบายหาบเร่แผงลอยปัจจุบันดูผ่อนปรน มีการเพิ่มจุดผ่อนผันให้โอกาสผู้ค้าด้วยการบริหารจัดการที่ค่อนข้างครอบคลุมใน มิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงของผู้ค้า และการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ การจัดหาสถานที่ค้าถาวร รวมทั้งใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐานในการขับเคลื่อน แต่หากมีความเข้าใจ ชีวิตของหาบเร่แผงลอย คือการตั้งแผงค้าในจุดที่ลูกค้าเข้าถึงสะดวกที่สุด ค้าขายในช่วงเวลาที่มีลูกค้าเท่านั้น การโยกย้ายผู้ค้าจากจุดเดิมก็เหมือนปิดร้านค้าของเขา ดังเช่นในปีก่อน ๆ มีการจัดหาพื้นที่รองรับผู้ค้าหลักหมื่นรายแต่ผู้ค้าเข้าร่วมไม่ถึงพันราย เพราะพื้นที่รองรับนั้นไม่มีลูกค้าเข้าถึง การเปิดแผงขายจะมีแต่ภาระ และต้นทุนทวีคูณ

ในโอกาสครบรอบ 365 วัน ของผู้ว่าฯ กทม.ควรจะมองหาบเร่แผงลอย ในฐานะกลุ่มคนรายได้น้อย ได้อยู่ในเมืองที่นับรวมทุกคน (inclusive city)

  1. การค้าหาบเร่แผงลอย ครอบคลุมมิติทางเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อมโยงกับโอกาสในการประกอบอาชีพ การแก้ไขปัญหาความยากจน  การประกอบการและการสะสมทุน และมิติทางสังคม คือ การลดปัญหาสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับความยากจน การสร้างความสามารถในการพึ่งตนเอง การจัดการหาบเร่แผงลอยจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะการจัดระเบียบ แต่มีอีกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องอีกมากที่ต้องการการจัดการดูแล ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปถึงการสร้างโอกาสการทำงาน การสร้างผู้ประกอบการ และเพิ่มความสามารถในการพึ่งตนเองของผู้คนพลเมือง
  1. หาบเร่แผงลอยเป็นส่วนหนึ่งของภาคเศรษฐกิจไม่เป็นทางการ (informal sector) หรือเป็นเช่นเส้นเลือดฝอยหล่อเลี้ยงเส้นเลือดใหญ่ ควรได้รับการดูแลให้อยู่ในเมืองที่นับรวมทุกคน (inclusive city) หาบเร่แผงลอยที่ขึ้นทะเบียนมีเพียงหมื่นกว่าราย แต่ความจริงแล้วหาบเร่แผงลอยมีทุกพื้นที่ กทม.ควรดูแลผู้ขายอาหารราคามื้อละ 40 บาท สำหรับกลุ่มคนรายได้น้อย เพื่อลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องทานอาหารใน food court มื้อละ 80 บาท
  1. หลักการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น และผู้ค้า กทม.ไม่ควรนำมาตรฐานเดียวมาบังคับจัดระเบียบแผงลอยทั้ง 50 เขตทั่วกทม. แต่ต้องคิดมาตรการใช้จัดการเป็นรายพื้นที่ เพราะแต่ละพื้นที่มีผู้คนที่แตกต่างกัน การแก้ไขปัญหาควรตั้งต้นออกแบบมาจากพื้นที่ และท้องถิ่นก่อน เป็นต้นทางเสนอความต้องการออกแบบหาบเร่แผงลอยให้กทม. ไม่ใช่ใช้คำสั่งขึ้นไป จะทำให้ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ 
  1. ในแง่ของพื้นที่สาธารณะ กทม. ควรมองให้กว้างกว่าการใช้อำนาจ และกฎหมาย พื้นที่สาธารณะ คือพื้นที่ซึ่งประชาชนหลากหลายกลุ่มเข้าถึง และได้ใช้ประโยชน์หลากหลายในทุกช่วงเวลา เมื่อมีการใช้งานย่อมมีความปลอดภัยมากกว่าพื้นที่เปลี่ยว หรือรกร้าง มากกว่าพื้นที่สวยงามแต่ร้างผู้คน สำหรับผู้มีรายได้น้อย กลุ่มหาบเร่แผงลอยใช้พื้นที่ทางเท้าเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว จึงไม่ควรจะถูกขับไล่ออกจากพื้นที่สาธารณะ

ขอบคุณภาพ:

www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1063048

www.culturedcreatures.co/explore-สีลม

pantip.com/topic/39647755

__________________________

Share the Post: