ย้อนหลังไป 50 ปี ในยุคสมัยที่คลื่นคนชนบทเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ เกษตรกรคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ด้านช่างไม้สืบทอดจากพ่อ เมื่ออพยพเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นลูกจ้างร้านค้าย่านพาหุรัด แต่ 10 ปีหลังต้องเปลี่ยนสถานภาพเป็นย่าเลี้ยงหลาน ไม่มีอาชีพที่มั่นคง มีเพียงรายได้รายวันจากการรับจ้างงานเป็นครั้ง ๆ และ เก็บขยะขาย โดยที่ลูกๆ ก็มีอาชีพรับจ้างพอยังชีพเท่านั้น ไม่สามารถจะช่วยดูแลค่าใช้จ่ายเพื่อให้แม่ซึ่งมีอายุมากแล้วได้พัก
ในย่านบุคคโล เขตคลองสาน สภาพบ้านเรือนสองฝั่งของถนนใหญ่ คือ อาคารคอนโดมีเนียม โรงแรม และอาคารพาณิชย์ บริเวณปากซอยต่าง ๆ เป็นอาคารที่พักอาศัย ร้านค้า สำนักงาน และโรงงานตึกแถว แต่ความจริงแล้ว ชุมชนแถบนี้มีแรงงานรับจ้างทั่วไปจำนวนมาก จากซอยใหญ่เข้าซอยแยกย่อยสามารถเดินทะลุถึงกันได้หลายซอย บ้านส่วนใหญ่คือบ้านเดี่ยวสร้างด้วยไม้ มีรั้วบ้านไม่สูง ลักษณะเป็นบ้านในสมัยก่อน 2500 และมีบ้านเดี่ยวจำนวนมากถูกตัดแบ่งเป็นห้องเช่าขนาดเล็ก ทางเดินแคบๆ โดยเฉพาะบริเวณติดแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ที่นี่คือย่านอุตสาหกรรมซื้อขายไม้ มีโรงเลื่อยไม้หลายสิบโรง บริษัทสำนักงานการค้าขายของต่างชาติ และขุนนาง ข้าราชการ ชาวไทยเชื้อสายจีน ดังชื่อคลองโรงภาษี ยืนยันถึงย่านการค้าที่รุ่งเรืองในเวลานั้น ในช่วงปี 2520 เป็นยุคเฟื่องฟูของ กิจการค้าขาย และโรงงานตึกแถวจำนวนมากทำให้ย่านนี้เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ ดึงดูดให้แรงงานอพยพ รวมทั้งประชากรแฝงเข้ามาประกอบอาชีพค้าขาย และแรงงานรับจ้าง แต่เมื่อโรงานเหล่านี้ย้ายออกไปชานเมืองกรุงเทพฯ ทำให้แรงงานในย่านนี้ตกงานจำนวนมาก
ในซอยลึกติดแม่น้ำเจ้าพระยา กลุ่มบ้านไม้ยกพื้นหลายห้องติดกันเป็นแถว มีทางเดินแคบ ๆ เดินได้คนเดียวลึกเข้าไปด้านใน หนูน้อยอายุ 4 ขวบ นั่งที่พื้นไม้หันหลังให้ประตูบ้าน เป็นพื้นที่ว่างกลางห้องสำหรับเดินจริง ๆ เพราะสองข้างผนังมีกองสิ่งของวางเต็มทั้งบ้าน มันคือขยะ หรือของใช้อะไรบ้าง
“หนู ๆ มีใครอยู่บ้านไหม ๆ คะ …หนู กินข้าวเช้าแล้วยัง”
“กินแล้ว ว”
หนูน้อยตอบเสียงแจ๋ว แต่ไม่หันหน้ามา
เป็นคำถามพื้นฐาน เมื่อเจอเด็ก ๆ ข้าพเจ้าจะถามว่า หนูกินข้าวแล้วยัง ระหว่างนี้ มองหาผู้ใหญ่ในบ้าน ข้าพเจ้าชวนคุยต่อ
“ตอนเช้า กินอะไร คะ”
“กินปลากระป๋อง กับข้าว”
“แล้วมื้อเที่ยงกินอะไร มีอะไร ใครทำกับข้าวมั้ย”
“ก็ปลากระป๋อง ยังเหลือ”
คำตอบหนูน้อยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว มีเสียงคุณยายเดินมาจากปากซอย หนูน้อยลุกขึ้นเดินมาที่ประตูบ้านที่ข้าพเจ้ายืน
“ผมเป็นเด็กผู้ชาย ครับ ไม่ใช้ คะ”
เสียงคุณยายหัวเราะ ข้าพเจ้ายังตามมุกหนูน้อยไม่ทัน งง แป๊บ อ่อ..ที่ไม่หันมาคุยด้วยเพราะข้าพเจ้าพูดกับหนูว่า คะ ๆ หนูน้อยจึงติงข้าพเจ้าว่า ต้องใช้คำ.. ครับ ๆ



จากเกษตรกรมาเป็นคนทำงานรับจ้าง
ป้าสายนต์ อายุ 68 ปี เป็นคนอำเภอจักราช จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ลูกชาย ลูกสาวมีแฟน และมีลูกจึงส่งให้ป้าสายนต์ดูแล ป้าจึงเป็นทั้งย่า และยายของหลาน 2 คน ปัจจุบันหลานสาวคนโตอายุ 14 ปี และหลานชายคนเล็กอายุ 5 ปี นับตั้งแต่ต้องดูแลหลานมากว่า 10 ปี ป้าไม่ได้ทำงานรับจ้างที่มีรายได้มั่นคง แต่กลายเป็นงานรับจ้างทั่วไป และเก็บของเก่าขายเพิ่มรายได้อีกทาง
ฟังป้าสายนต์เล่าถึงคนทำงานรับจ้างทั่วไป ทำอะไรบ้าง
“เขาจ้างตัดต้นไม้ คนใต้ฝั่งถนนโน้น เขาจ้างให้อาหารหมา เวลาเขาไม่อยู่บ้าน เจ้าของตลาดจ้างตัดหญ้า หญ้าที่ตลาดเยอะ ตัดไม่ทัน ก็เอาผ้าไปคลุมไว้ ส่วนต้นกล้วยนั่น ยายก็ปลูก”
ป้าเล่าด้วยน้ำเสียงภูมิใจ เจ้าของตลาดจ้างให้ป้าทำงานตัดหญ้าด้วยค่าจ้างเดือนละ 200 บาท ป้าแถมปลูกกล้วยอีกเกือบ 20 ต้นภายในรั้วสังกะสีนั้น
แล้วป้าตัดต้นไม้ต้องปืนหรือเปล่า
“ปืน ระวังตัว ตัดต้นมะม่วงบ้านโน้น ผู้ชายยังทำไม่ได้ ป้าขึ้นบันไดไปหลังคาไปตัดลงมา”
ป้าสายนต์อวดว่าทำได้ ตัดต้นไม้ได้ ข้าพเจ้าทึ่งที่ป้าอายุมากแล้ว ยังปืนต้นไม้ได้
แล้วป้ามีอุปกรณ์ครบหรือ
“ทำได้จากพ่อ ๆ เป็นช่างไม้ มีเลื่อย ค้อน มีครบ เมื่อก่อน ป้าเลื่อยไม้กระดาน ไสไม้ อยู่บ้านนอกมุงหลังคาเอง”
รัฐบาลกำหนดค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ วันละ 353 บาท เป็นอัตราที่ต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ยิ่งไปกว่านั้นค่าแรงงานที่ป้าสายนต์ได้รับเป็นครั้ง ๆ อัตราค่าจ้าง และการจ้างงานไม่แน่นอน
“เดือนหนึ่ง ๆ จ้าง 2-3 ครั้ง ๆ ละ 200 บ้าง 300 บ้าง ทำงานบ้านด้วย แล้วแต่เข้าจ้าง ทำความสะอาด บางทีวันละ หรือชั่วโมงละ 350 หรือ 200 บาท แล้วแต่เขาจะให้เรา”
ปัจจุบัน ค่าจ้าง รปภ. หรือ แม่บ้านทำความสะอาด ในย่านคลองสาน มีอัตราวันละ 3-500 บาท มีเงื่อนไข เช่น เงินออกทุก 15 วัน มีเบี้ยขยัน หรือ มีค่าเดินทางช่วย เช่น โรงแรม และคอนโดมีเนียมในย่านนี้มีทุก 100 เมตร
“เขาไม่จ้าง เพราะแม่บ้านในนั้นเขารับจ๊อบช่วงเย็น หลังเลิกงานเพิ่มด้วย”
“เหนื่อยมาก แดดก็ร้อน บางครั้งเหนื่อยแทบใจจะขาด ใคร ๆ ก็ว่า ดีนะที่ย่าแข็งแรง ถ้าไม่แข็งแรง หลานคงอดตาย 300 บาท วันเดียวก็หมดแล้ว ซื้อกับข้าวให้หลานก๋วยเตี๋ยวก็แพง บางทีอยากกินบ้าง”
ก๋วยเตี๋ยว ชามละ 50 บาท ยังเป็นอาหารที่ป้าสายนต์ซื้ออย่างระมัดระวัง ไม่ใช่นึกอยากจะกิน ก็กิน กับข้าวที่กินบ่อย ๆ คือหมูปิ้ง ไข่เจียว ปลากระป๋องมีติดครัวตลอด ทั้งซื้อเอง และคนบริจาคให้
รายรับไม่แน่นอน แต่รายจ่ายแน่นอนกว่า คือค่าเช่าบ้าน รวมค่าน้ำ ค่าไฟ 3,000 บาท และค่าอาหาร 3 ชีวิต ค่าเดินทางไปโรงเรียนของหลาน ดังนั้น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นตัวช่วยสำคัญ ใช้ซื้อสินค้าเดือนละ 300 บาท ป้าสายนต์สามารถบริหารวงเงิน 300 บาทเพื่อจัดหารอาหาร และของใช้ในบ้านได้ครบ คือทยอยซื้อ 2-3 อย่าง ไม่ใช่ซื้อได้ครบทั้งหมดทุกเดือน
“ข้าว น้ำมันพืช ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เราไปรูดแฟ๊บ น้ำยาล้างจานถูกหน่อย 10 บาท น้ำมัน แต่ก่อนขึ้น 75 บาท ตอนนี้ถูกลงหน่อย 56 บาท บางเดือนจะเอาน้ำมันไว้ 2 ขวด แต่ถ้าเกินไป 50 บาท เราจ่ายเงินเพิ่ม บางทีเราจะเพิ่ม เรายังไม่เอา เดือนหน้าค่อยเอา”
รายได้ไม่พอ ต้องเก็บของเก่าขาย
รายได้ไม่พอ และไม่แน่นอนเช่นนี้ ป้าสายนต์เลี้ยงหลานมาได้อย่างไรกว่า 10 ปี ป้าสายนต์แจกแจงว่า เพื่อนบ้านจะคอยแบ่งกับข้าว ขนม ผลไม้มาให้กิน รวมทั้งขวดน้ำ ของเก่าที่ขายได้ จะเก็บไว้ให้ป้าเอาไปขาย
บ้านรับซื้อของเก่าอยู่ติดกับบ้านป้า ทำไมป้าไม่ขายให้หมด กองไว้เยอะๆ ทำไมคะ
“ที่กองไว้ มีเสื้อผ้าที่เขาให้มาด้วย จะเอาไปต่างจังหวัด”
ภาพข้างหน้าคือ กองสิ่งของรกเต็มบ้าน ล้นออกมาหน้าบ้าน ป้าสายนต์บอกว่า บางวันขายได้ บางวันขายไม่ได้
“บ้านโน้นนี้นั้น เก็บขวดไว้ให้ เราไปถามทีละบ้าน บางบ้านก็ไม่ให้ คนโน้นก็เก็บ คนนี้ก็เก็บ ขี้เหล้าเมายาก็เก็บขวดขายเหมือนกัน เดี๋ยวนี้คนรวยก็เก็บนะ คุณ”
ข้าพเจ้านั่งคุยกับป้าสายนต์ที่เพิงใต้ต้นไม้ อากาศร้อนอบอ้าวทำให้เพลีย และรู้สึกง่วง แต่เมื่อถามถึงราคาขายของเก่า ป้าสายนต์ตอบคล่องแคล่วเหมือนกำลังบอกราคาสินค้าของเจ้าของกิจการ ๆ หนึ่ง
“ขวดน้ำ กก.4 เหล็ก 5 พลาสติกกรอบ เช่น พัดลม กระป๋องแป้ง 0.50 บาท สังกะสี 2 บาท กระดาษขาวดำ 4 บาท กระดาษจั๊บ 0.50 บาท”
กระดาษจั๊บ คือกระดาษรวม ๆ แบบไม่คัด คงเหมือนอาหารจับฉ่าย รวมผักหลาย ๆชนิด
แต่ก่อนหนังสือพิมพ์ราคาดีนะคะ
“เดี๋ยวนี้ไม่มีหนังสือพิมพ์แล้ว เพราะคนอ่านแต่โทรศัพท์”
ป้าสายนต์แสดงท่าทางก้มหน้าดูมือถือ ประกอบ


ปัญหาสุขภาพของคนจน
ป้าสายนต์ไม่ได้รับราชการจึงไม่มีสวัสดิการราชการ และไม่เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนจึงไม่มีประกันสังคม ไม่มีเงินบำเหน็จบำนาญเมื่อเกษียณอายุ หรือมีเงินเก็บพอเพียง ป้าสายนต์มีเพียงบัตรทองรักษาทุกโรค และได้เบี้ยคนชราเดือนละ 600 บาท แต่โรคภัยไม่ได้เลือกที่จะเห็นใจคนรายได้น้อย
“เคยเข้าโรงพยาบาลสามครั้ง ผ่าตัดครั้งที่หนึ่ง เพราะมือบวมเหมือนกับแตงโม ครั้งที่สอง ทำรีแพร์ ที่โรงพยาบาลตากสิน ครั้งที่สามทำหมัน”
ป้าสายนต์ต้องทำรีแพร์เพราะมดลูกหย่อนลงมาที่ช่องคลอด หมอเอาเครื่องดูดออกมา ให้ดูผ่านกระจก พอเอามดลูกออกมาแล้ว เป็นโพรง ไม่มีอะไรในท้องเลย”
“ตอนนั้นอายุยังไม่ 50 ปี ทำงานไม่ได้ มันปวด เวลาเดินคือเดินขาถ่างเลย ไปขอนแก่นจะขึ้นรถ รถกำลังจะออก คนขับรถประจำทางตะโกนเรียก ป้าเดินเร็ว ๆ หน่อย ป้าบอก เดินเร็วไม่ได้ มันเจ็บ เขาถามอีก เจ็บอะไร ป้าบอกเจ็บ หี”
ป้าสายนต์เล่าความเจ็บป่วยของตัวเองในเวลานั้นทำให้ข้าพเจ้าทั้งขำ ทั้งเห็นใจ ทำไมหนอจึงต้องป่วยอะไรหนักหนาแบบคนทั่วไปไม่เป็นกัน ป้าบอกว่าตอนนั้นยังไม่มีบัตรทอง ต้องยืมเงินน้องสาวจ่ายค่ารักษา และรำลึกถึงบุญคุณคุณหมอในย่านบุคโลซึ่งยอมให้ผ่าตัดก่อนชำระเงินภายหลัง
ปัจจุบันภาครัฐให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้สูงอายุซึ่งว่างงาน หรือมีรายได้ไม่แน่นอน และต้องเลี้ยงดูเด็กโดยลำพัง แต่ยังไม่มีความช่วยเหลือแรงงานรับจ้างทั่วไป หรือที่ภาครัฐมักจะหมายถึงแรงงานด้อยทักษะซึ่งมีจำนวนมากในกรุงเทพฯ ก็คือผู้ว่างงานในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เหมือนลูกระเบิดที่รอถอดชนวน
ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เคยเป็นลูกสาวส่งเงินให้พ่อ เป็นแม่ เป็นย่า และยาย ผ่านความลำบากจนอายุใกล้ 70 ปี น่าเป็นห่วงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะไม่มีรายได้ที่มั่นคง สุขภาพก็ถดถอยตามวัย และต้องเลี้ยงหลานกำลังโต 2 คน
ลูกชายส่งเงินให้ป้าหรือไม่คะ
“สลึงหนึ่งยังไม่มี มีแต่จะมากินข้าว และห่อกลับไปให้แฟนกินด้วย” หมายถึงลูกชายซึ่งขับวินมอเตอร์ไซด์
แล้วลูกสาวส่งเงินหรือไม่คะ
“ไม่ส่ง เค้าไปทำงานที่มาเลเซีย ไม่รู้ว่าไปติดคุก หรือไปทำอะไร ไม่เคยติดต่อมา เงียบไปเลย”
ป้าสายนต์อ่านสายตาข้าพเจ้าออก คำถามถึงอนาคตมืดมน ไม่ต้องถามออกมา ป้าสายนต์ตอบทันที
“รอเด็กเรียนจบก่อน ให้เด็กทำงานได้ หัวเข่าไม่ดี ถ้าเดินไม่ได้ ถอนหญ้าไม่ไหว จะกลับบ้านจักราช ส่วนเด็ก ๆ จะส่งพ่อแม่เขา แต่หลานชายบอกจะตามย่า ย่าไปไหน จะไปด้วย”
เสียงป้าสายนต์บอกความภูมิใจที่หลานตัวเล็ก ๆ มีความผูกพัน ป้าไม่ได้ดันทุรัง ป้ารู้สภาพร่างกาย ไม่ไหว คือไม่ไหว ทางออก คือกลับบ้าน กลับภูมิลำเนาเดิม ที่ ๆ มีญาติพี่น้องช่วยเหลือดูแลกัน