Skip to content
เสริมสุขภาวะที่เป็นธรรม สร้างพลังแรงงานนอกระบบ

ชาวไร่อ้อย เสมือนลูกจ้างโรงงานน้ำตาล

ชาวไร่อ้อย เสมือนลูกจ้างโรงงานน้ำตาล

คุณรุ่งนภา เจ้าของไร่อ้อยในเขตจังหวัดสุโขทัย บอกเล่าวิถีเกษตรกรในระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) ระบบที่ทำให้เกษตรกรไม่ใช่อาชีพอิสระ แต่เป็นเสมือนลูกจ้างโรงงานน้ำตาล

สุโขทัยเป็นพื้นที่ไร่อ้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ผลิตน้ำตาลได้ค่าความหวานที่ดีที่สุดในประเทศ อ้อยเป็นพืชทนแล้ง ไม่ต้องรดน้ำ อาศัยน้ำฝนพอแล้ว มีโรงงานน้ำตาลสองโรงสามารถรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรกว่าสามแสนไร่

พื้นเพเดิมครอบครัวอยู่ในเมือง แถวโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ เมื่อ 50 ปีก่อน ปู่ออกมานอกเมืองมาทำโรงงานน้ำตาลขนาดเล็ก ปู่มาจับจองพื้นที่ทำไร่ ตั้งโรงงานเคี่ยวน้ำเชื่อม เพื่อไปส่งโรงงานตีเกล็ดน้ำตาล แล้วใช้เกวียนขนไปส่งโรงงาน หลังปี 2518  ปู่ปลูกอ้อยส่งโรงงานวังกะพี้ และทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานน้ำตาล เป็นนักสำรวจไร่เพื่อกำหนดโควต้าน้ำตาล และหาสมาชิกลูกไร่ ปลูกอ้อยส่งโรงงาน ครอบครัวจึงปลูกอ้อยต่อเนื่องมากกว่าห้าสิบปี มารุ่นพ่อแม่อาจจะไม่ได้เก่งมาก ไม่ได้ขยายต่อยอดอะไรเพิ่ม ทำไปพอส่งลูกเรียนได้

ยุคแรงงานจากภาคอีสานในไร่อ้อย

งานในไร่อ้อยต้องใช้คนงานเยอะมาก  ในอดีตจ้างคนงานจากแพร่ น่าน แต่หลัง ๆ จ้างคนจากภาคอีสาน ตอนเล็ก ๆ เราจะมีพี่เลี้ยงเป็นคนสุรินทร์ โตมาอีกหน่อย เราได้กินข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ของคนงาน เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นช่วงตัดอ้อย เราจะเอารถสิบล้อไปรับคนงานจากภาคอีสาน สุรินทร์ สกลนคร อุดรธานี และขอนแก่น มาอยู่กับเราระยะสามสี่เดือน กว่าสามสิบคน ตั้งแคมป์หน้าบ้าน คนงานพาลูกเล็ก ๆ มาด้วย เราจะเลี้ยงคนงาน พอเสร็จงานเดือนมีนาคม เราก็ส่งคนงานกลับบ้าน เราได้ติดรถไปเที่ยวอีสานด้วย คนงานบางคนไม่กลับอีสาน ตั้งรกรากที่นี่ก็มี

เราต้องไปรับไปส่งเพราะคนงานมาพร้อมอาหาร เครื่องนอน เครื่องใช้ทำครัว เขามาตัดอ้อย ซึ่งเป็นช่วงว่างจากทำนา เราให้เงินมัดจำล่วงหน้า จำได้ว่า บางครั้งคนงานหนีงาน แม่ต้องไปตามคนงานที่สถานีรถไฟ สถานีรถขนส่งจังหวัด

ถามว่างานตัดอ้อยหนักมากแค่ไหน เขาอึด ทน งานมันร้อน คัน คาย แต่สบายใจ เพราะอยู่กันแบบช่วยกัน แต่ช่วงสามสิบปีก่อน ขาดแคลนแรงงาน เพราะเขาไปทำงานในโรงงานกันหมด มีเถ้าแก่จ้างไปขายขนมในกรุงเทพ ใช้รถจักรยานพ่วงท้ายขายขนมหวาน มันสบายกว่า ทำให้เราเลิกใช้แรงงาน ต้องใช้รถตัดแทน

ยุคเครื่องจักรแทนที่แรงงาน

สังคมชาวไร่ปัจจุบัน ใช้คนงานน้อยมาก เจ้าของไร่ต้องไปเข้าโควต้ากับโรงงานเป็นคนจัดคิวรถตัด เวลารถตัดอ้อยมา จะมาเป็นชุด เป็นงานใหญ่ เจ้าของไร่จะเลี้ยงข้าวปลาอาหาร และขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มเอ็มร้อย

รถตัดหนึ่งคัน รถสิบล้อขนอ้อย รถไถ รถพ่วง รถกะบะ รถตัดอ้อยจะดูดอ้อยใส่รถพ่วงสิบล้อ ถ้ารถสิบล้อมาไม่ทัน ก็ต้องพัก รถขนอ้อยเข้าโรงงานขึ้นอยู่กับคิวรถพ่วง ถ้ารถมาต่อกันสม่ำเสมอไม่ต้องรอ แต่คิวรถพ่วงไปส่งโรงงาน แต่ไม่กลับมา ต้องรอ รถตัดทำงานในเวลารวดเร็วมาก วันเดียวร้อยไร่ ตัดทั้งคืน มีไฟสปอตไลท์ มีช่วงพักรอรถพ่วง

รถตัดอ้อยทำงานเร็ว แต่น้ำหนักอ้อยหายไป ไร่ละสองตัน เพราะเครื่องจักรตัดยอดเท่านั้น ต้นยาวต้นเตี้ยตัดไปเท่ากัน และน้ำหนักของเครื่องจักรบดทับทำให้ดินแน่น รถไถยาก ต้นไม่ค่อยแตก ทำให้จะต้องบำรุงดิน ใช้ปุ๋ยมากขึ้น ชาวไร่อ้อยดั้งเดิมจะชอบแรงงานคนตัดเพราะเก็บงานละเอียดกว่า ได้อ้อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่จ้างคนงานจะมีค่าโสหุ้ย จุกจิกกว่า มีการจัดการ แต่ปัญหาคือ ไม่มีแรงงานให้จ้าง

เมื่ออ้อยส่งเข้าโรงงานแล้ว จะเหลือเศษต้นอ้อย จะมีคนมาซื้อไปอัดฟาง ใช้รถแทรกเตอร์ รถเทรลเลอร์เข้าตะกุยฟางที่มันถูกบดทับ เอาฟางไปขายตันละ 800 บาท ส่งโรงงานไฟฟ้า และจ่ายค่าฟางให้เจ้าของไร่ ๆ ละ 50 บาท

เครื่องจักรมาแทนที่ มีความสะดวก รวดเร็ว แต่ทำให้เจ้าของไร่อ้อยรายเล็กเลิกทำไปเยอะ เพราะต้นทุนค่าเครื่องจักรทำให้เป็นหนี้ระยะยาว ไม่มีใครมีรถตัดของตัวเอง บางคนมีเงินซื้อรถตัดมือสอง ราคาถูกสุดคันละ 12 ล้าน ปีหนึ่งทำงานได้ 4 เดือน ตัดอ้อยที่ลงทุนเอง และรับจ้างตัดด้วย

ไร่อ้อยในระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming)

กว่า 40 ปีแล้ว การปลูกอ้อยอยู่ในการจัดการของโรงงานน้ำตาล หรือ Contract Farming ใครต้องการทำไร่อ้อย จะต้องลงทะเบียนกับโรงงาน ๆ ส่งคนมาสำรวจพื้นที่ ประเมินว่าจะมีอ้อยส่งโรงงานปริมาณเท่าไร ชาวไร่ต้องเอาเอกสารการันตีรายได้จากโรงงานไปทำสัญญาเงินกู้กับธนาคาร พร้อมดอกเบี้ย ยังไม่รวมหักค่าต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยแฟร์ บางทีส่งอ้อยถึงโรงงาน แต่เงินไม่ถึงมือก็ได้ เพราะต้องหักหลายอย่าง รวมทั้งภาษีรายได้ของเจ้าของไร่อ้อย ดังนั้นหากมีที่ดิน 30-50 ไร่ ทำได้ ยังคุ้มทุน แต่หากมี 5-10 ไร่ ทำไม่คุ้ม เจ้าของไร่มักจะให้เถ้าแก่เช่า แล้วไปหารายได้ทางอื่น หรือเลิกทำอ้อยปลูกมะม่วงโชตอนันต์ ทนแล้งดี และขายได้ทั้งปี หรือฝากโควต้ากับรายใหญ่ ชาวไร่จะไม่ขาดทุนต้องคิดคำนวนให้ดี ทำน้อย เสียเวลา เสียเงิน ทำมากจึงจะเห็นผล คุ้มกว่า ถูกกว่า ทำให้ชาวไร่รายย่อยหายหน้าไปหมดแล้ว เพราะทำเล็กๆน้อย ไม่คุ้ม

ยิ่งทำยิ่งจน

น่าคิดว่า ทำไมโรงงานน้ำตาลขยายต่อเนื่อง แต่ชาวไร่อ้อยไม่รวยขึ้น ชาวไร่อ้อยได้รายได้จากมูลค่าน้ำตาลเท่านั้น ค่าอ้อยตันละ 1,200-1,500 บาทค่าเฉลี่ยไร่ละ 10 ตัน แต่จริง ๆ แล้วโรงงานได้น้ำตาล กากน้ำตาล และต่อยอดอุตสาหกรรมชีวภาพ โรงไฟฟ้าชีวมวล มูลค่าส่วนนี้มหาศาล แต่ชาวไร่อ้อยได้ค่าน้ำตาลเท่านั้น

เปรียบเทียบกับระบบเก่า โรงงานน้ำตาลเหมือนจับเสือมือเปล่า มันมีลำดับชั้น เป็นวิถีนายทุนผูกขาด นายทุนใหญ่เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลกว่า 30 โรงทั้งประเทศ ชาวไร่อยู่ในกำมือเขาหมด เสมือนเป็น ลูกจ้างผลิตโดยโรงงานไม่ต้องลงทุน ชาวไร่ไม่มีปากเสียง ไม่มีอำนาจต่อรอง

ภาพชาวไร่อ้อยเมื่อสมัยปู่ของเรา อู้ฟู่มาก ประมาณพ่อเลี้ยง หรือเถ้าแก่ ทำร้อยกว่าไร่ ไม่มากเลย ในท้องถิ่นแบ่งระดับฐานะคนทำเกษตรกรรม ไร่อ้อยจะมีเครดิตมากกว่าไร่อื่น ๆ มีการรวมตัว สมาคมชาวไร่อ้อย แต่หากเป็นชาวนาคือเป็นเกษตรกรรายย่อย

แม่เคยเปรียบเทียบให้ฟัง สมัยทองคำราคาบาทละพัน อ้อยราคาตันละ 500 บาท แต่ละปีสามารถซื้อทองเก็บได้หลายบาท แต่ตอนนี้อ้อยตันละพันสอง แต่ทองไปบาทละสามหมี่น

ชาวไร่อ้อยไม่รวยอีกต่อไปแล้ว แต่เสมือนลูกจ้างโรงงานน้ำตาล ช่วงนี้ได้ยินว่า หลายคนเริ่มเอาที่ไปจำนองกับโรงงาน ขั้นต่อไปคือที่ดินหลุดมือ เจ้าของไร่กลายเป็นคนเช่าที่ดินตัวเอง

สู้แล้งไม่ได้ ต้องปล่อยที่ดินให้รายใหญ่เช่า

ผลกระทบจากเอลนิโญ แล้งหนักมาก อ้อยตอปีที่สอง เหี่ยวแห้งตายหมด รื้อไปหมด จึงไถใหม่หนึ่งแปลงเล็ก ๆ 15 ไร่ ลงทุนประมาณ 7 หมื่นบาท ส่วนแปลงใหญ่ปล่อยทิ้งไว้

เรารู้แล้วว่าปีหน้าไม่มีอ้อย รายได้หลักหายไปแล้ว เราต้องปรับตัวเพื่อรองรับปัญหา และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะเราไม่สามารถจะไปแก้ไขอะไรได้ มันเกินกำลังของเรา

ไร่อ้อยแต่ละพื้นที่มีระบบแตกต่างกัน ไร่อ้อยแถวบ้าน การลงทุนครั้งหนึ่ง ๆ ปีแรกจะได้ผลผลิตดีมาก ๆ ได้ปีแรกแล้ว จะตัดตออ้อย บำรุงดิน ใส่ปุ๋ย รอน้ำฝน เติบโตเป็นปีที่สอง ปีที่สาม คือลงทุนครั้งหนึ่งจะได้ผลผลิต 3 ปี เมื่อพ้นปีที่สาม จะรื้อและปลูกใหม่ จะปลูกอ้อยอีกครั้งคือช่วงปลายปี ตอนนี้เป็นช่วงพักดิน จะปลูกพืชคั่นฤดูกาล คือ ปลูกถั่วเหลืองเพื่อบำรุงดิน แต่ปีนี้หาเมล็ดพันธุ์ไม่ได้ จึงปลูกข้าวโพดแทน

ชาวไร่อ้อยรู้กันดีว่า ถ้าปลูกข้าวโพดจะมีหนอนในดินไปอีกสองถึงสามปี จะทำให้ดินเสีย จริง ๆ แล้วชาวไร่อ้อยไม่ชอบ เพราะหนอนจะกินรากอ้อย แต่เพราะที่ว่าง เป็นเงินทุนหมุนเวียน ลงทุน รู้ว่าเสี่ยง เพื่อจะได้เงินบ้าง พ่อลงไป 20 ไร่ แต่ต้นไม่โต มันแก่ แคระแกรน สรุปว่าเจ๊งหมด

อีกแปลงหว่านข้าวไว้ มีน้องคนงานมาขอทำเพราะหว่านข้าวจะมีเงินอุดหนุนภัยแล้งของรัฐบาลไร่ละหนึ่งพันบาท ถ้าข้าวโพดไม่มีเงินอุดหนุน เอาจริง ๆ เป็นทริกกี้ (tricky) ได้เงินสักสามหมื่นบาท ข้าวสามสิบไร่ หากปลูกอย่างอื่น เจ๊งอย่างเดียว อีกแปลงให้น้องคนงานปลูกถั่วเหลือง 15 ไร่ไม่คิดค่าเช่า แต่ไม่ได้ผลผลิตเลย ต้องไถทิ้ง เพราะแล้งจัด แมลงศัตรูพืชเยอะ

มองไปสามปีหน้า อ่วมแน่ๆ คุยกับพ่อว่าจะไม่ปลูกอ้อยแล้ว เพราะลงทุนมาก 80 ไร่ จะให้คนเช่า เรากินค่าเช่าไป เถ้าแก่รายใหญ่เขามีทุนหนากว่า เก็บ 20 ไร่บริเวณข้างบ้านไว้ทำเอง คนเช่าเขาจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า ไร่ละ 3,000 บาท ระยะ 2 ปี ตามสัญญาเช่า เราได้เงินก้อนมาใช้จ่าย

Share the Post: