ก่อนจะมาเป็น Women of Tranquility
อิ๋ว หรือ ทิพย์อักษร มันปาติ เป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ เธอคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของการเลี้ยงหม่อนไหมภายในชุมชนมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยเด็ก โดยเฉพาะจากย่าซึ่ง “เลี้ยงหม่อนไหม สมัยก่อนชาวบ้านใช้ที่ปั่นด้ายแบบดั้งเดิม เราเติบโตมากับย่า ได้เห็นย่านั่งปั่นด้าย เลี้ยงหม่อนไหม ดูมีความสงบ เป็นภาพจำที่ดี”
เมื่อเธอยังทำงานประจำ ซึ่งอยู่ “นอกบ้านเกิด” เธอมี “โอกาสไปลงพื้นที่ตามชุมชนต่างๆ และได้เห็นผ้าที่ชนชาติพันธุ์พื้นเมืองทำ รู้สึกประทับใจ เห็นว่ามีความสวยงาม เป็นงานที่มีคุณค่า และสะท้อนถึงทักษะของผู้หญิงที่ถูกสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ถ้ามีโอกาสมีกำลังก็จะซื้อเก็บไว้” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมของเธอ นอกจากนั้นระหว่างที่ทำงานประจำด้านสิ่งแวดล้อมกับองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ เธอมี “กลุ่มเพื่อนๆ ที่บางคนเป็นศิลปิน ชวนกันหากิจกรรมทำร่วมกันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มีอยู่อาทิตย์หนึ่งที่ชวนกันมาทำกระเป๋าปิ๊กแป๊ก เราก็สนใจอยากเรียนรู้ จึงไปเรียนกับเพื่อนๆ ได้ไปนั่งเย็บกระเป๋าผ้าที่ทำออกมาเป็นชิ้นงานด้วยตัวเอง รู้สึกสนุก มีความสุข สงบ และภูมิใจที่ได้ผลงานออกมา”

จะเห็นได้ว่า อิ๋วใช้เวลาช่วงก่อนกลับบ้านในการสะสมผ้าและสั่งสมทักษะในการเย็บปักกระเป๋ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อเธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำในปี พ.ศ. 2564 นั้น นอกจากเธอจะรับทำงานวิจัยแล้ว เธอยังพยายามมองหาโอกาสในการสร้างธุรกิจที่มีรายได้ “โดยที่ไม่เป็นภาระของสมาชิกคนอื่นในครอบครัว” ดังนั้นเธอจึงทดลองนำเอาทักษะการเย็บผ้าที่เธอชื่นชอบมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาพัฒนาเป็นอาชีพเสริมของตัวเองภายใต้แบรนด์ Women of Tranquility
ที่มาของแบรนด์ Women of Tranquility

อิ๋วเล่าว่า “เริ่มแรกจากการใช้ชื่อว่า Tranquility Wonder แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นชื่อ Women of Tranquility ซึ่งสะท้อนความหมายที่ต้องการสื่อได้ดีกว่าชื่อเดิม” เพราะเธอรู้สึกว่าการเย็บผ้า คือ ความสงบ หรือ Tranquility ซึ่ง “แปลว่าความสงบเงียบ คือ พยายามที่จะสื่อว่าความสงบเงียบ อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่สงบเงียบทำให้ใจเราสงบ บรรยากาศแบบนี้ช่วยทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข”
นอกจากนั้นสิ่งที่อิ๋วต้องการสื่ออีกประการเมื่อเธอกลับมาอยู่ในหมู่บ้านชนบท คือเรื่องสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเยียวยาจิตใจและมอบความสุขให้กับเธอ และเธอยังต้องการส่งต่อ “คุณค่า” ของสินค้าแฮนด์เมด (Handmade) ที่เธอผลิตไปยังผู้ซื่อ กล่าวคือ ต้องการ “สื่อว่าสินค้าของเรา งานแฮนด์เมดของเราเป็นการส่งต่อคุณค่า ส่งต่อความสุขให้คนอื่น”“สื่อว่าสินค้าของเรา งานแฮนด์เมดของเราเป็นการส่งต่อคุณค่า ส่งต่อความสุขให้คนอื่น”
เมื่อเธอทำแบรนด์ขึ้นมา มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการขายสินค้า สำหรับลูกค้ากลุ่มแรกคือเพื่อนๆ

“เริ่มแรกลูกค้ามาจากเพื่อนๆ เราก่อน คือ ทำกระเป๋าตัวแบบออกมาก่อน 3-4 แบบ แล้วโพสต์ลงในเฟสเบ๊คเพจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสื่อวารเกี่ยวกับงานแฮนด์เมดของเราโดยเฉพาะ พอมีเพื่อนในเฟสบุ๊คเห็นเราโพสต์แบบกระเป๋า ก็มีคนสนใจทักมาถามราคา เราก็ให้ข้อมูลรายละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องราคา ชนิดผ้าที่ใช้ทำ แหล่งที่มาของผ้า เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจจากข้อมูลของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เราทำ เราก็ถ่ายวิดีโอสินค้าแฮนด์เมด ถ่ายคลิปวิดีโอที่มีตัวเองนั่งเย็บกระเป๋าแฮนด์เมดด้วยมือทั้งหมดในช่วงแรกที่ยังไม่ได้ซื้อจักรเย็บผ้า เพราะตอนแรกยังไม่ได้มีเงินทุนพอที่จะซื้อจักร ก็เลยนั่งเย็บมือเองทั้งหมด ราคาจึงตั้งไว้ค่อนข้างสูง เพราะทำอย่างละเอียดและใช้ระยะเวลานานในการทำ เราก็อธิบายให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าทำไมราคากระเป๋าจึงเริ่มต้นที่หลัก 500 บาทขึ้นไป ทั้งๆ ที่ตัวกระเป๋าก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก เราอธิบายรายละเอียดแบบนี้ให้ลูกค้าทราบ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ต่อรองอะไร เขาเห็นแบบกระเป๋าในราคานี้เขาโอเค เขาก็ซื้อเลย”
ต่อมา เธอได้รับคำแนะนำจากคนรู้จักซึ่งเคยมีประสบการณ์การขายสินค้าออนไลน์ให้ซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค และในอินสตาแกรม ซึ่งเวลาเธอโพสต์ เธอจะสื่อสารทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และเพราะช่องทางอินสตราแกรมนี่เองที่ทำให้เธอได้รับการติดต่อจากดีไซน์เนอร์ชาวเกาหลี อิ๋วเล่าว่า ระหว่างที่เธอกำลังทำ “สินค้าออร์เดอร์จากลูกค้าคนหนึ่งแล้วไปโพสต์ลงในอินสตาแกรม ปรากฎว่ามีดีไซเนอร์เกาหลีมาเห็นโพสต์เรา เขาก็ทักเข้ามาในข้อความทางอินสตาแกรม เขาแคปเจอร์รูปผลิตภัณฑ์มาให้ดู บอกว่าชอบมาก ชอบอารมณ์ศิลปะของคุณ คุณเปิดรับงาน collab มั๊ย”

จากนั้นเธอกับดีไซน์เนอร์คนดังกล่าวก็แลกเปลี่ยนข้อมูล โดยเฉพาะคุณค่าในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาจะทำร่วมกัน โดยที่อิ๋วต้องการ “ส่งเสริมในแง่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น …ดูแลสิ่งแวดล้อมในระดับหนึ่ง และสนับสนุนรายได้ให้กับชุมชน” เธอจึงต้องการเลือกใช้ผ้าจากชาวบ้านบ้านกุดตาใกล้ อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งใช้การทอผ้าจากเส้นใยที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติ
นอกจากการเสนอแนวคิดแล้ว อิ๋วยังมีโอกาสพาดีไซน์เนอร์คนดังกล่าวซึ่งมาประเทศไทย ไปที่หมู่บ้านกุดตาใกล้ ต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เพื่อไปดูการทอผ้าด้วยสีธรรมชาติ และใช้โอกาสดังกล่าวพามาที่หมู่บ้านของเธอเพื่อให้ดูว่า เธอมีเครื่องมือ อุปกรณ์ ความพร้อมที่จะทำการร่วมมือผลิตสินค้าแฮนด์เมด
ภายหลังจากการหารือและดูสถานที่จริง ทั้งคู่จึงตกลงทำธุรกิจร่วมกันโดยที่ดีไซนเนอร์จะเป็นคนออกแบบ ส่วนอิ๋วจะเป็นคนทำให้ ทั้งนี้อิ๋วเองก็มีส่วนในการให้ข้อเสนอแนะด้วยว่าพอทำออกมาแล้วจะได้ผลงานแบบใด ซึ่งเนื่องจากอยู่ในช่วงทดลองตลาดจึงตกลงกันว่าจะทำ 100 ชิ้น ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่เยอะพอสมควรสำหรับอิ๋ว เพราะผู้ผลิตมีแค่ 2 คน คือ เธอและพี่สะใภ้ซึ่งเป็นคนปักลาย ซึ่งเธอตั้งใจว่า เธอจะไม่รับเกินปริมาณที่จะเกินกำลังหรือศักยภาพที่แรงงานในทีมที่จะผลิตได้
อนาคตของ Women of Tranquility: อนาคตธุรกิจสร้างสรรค์ขนาดเล็กในท้องถิ่น

แม้ว่าเงินทุนจะเป็นโจทย์หลักที่แรงงานคืนถิ่นต้องการให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน แต่เนื่องจากงานของอิ๋วคืองานในกลุ่มของธุรกิจสร้างสรรค์ ซึ่งอิ๋วมองว่า “สิ่งสำคัญก็คืออิสระทางความคิด ถ้าเราไม่มีอิสระทางความคิด เราถูกตีกรอบ มันก็ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ มันไม่เกิดความหลากหลาย”
เพราะสำหรับอิ๋วแล้ว “การเน้นความหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่จำเป็นต้องมาผลิตอะไรเหมือนๆ กัน เหมือนเป็น mass product เหมือนโรงงานที่เน้นปริมาณในราคาถูก แต่ไม่มีความหลากหลาย พอเน้นปริมาณผลิตออกมาเยอะๆ แน่นอนว่าทรัพยากรที่เราต้องใช้ก็สูงด้วย มันเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม และส่วนที่เกี่ยวข้องตามมา เช่น การจ้างงานที่เป็นธรรม การทำงานที่ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ”

นอกจากนั้น อิ๋วยังมองว่า การทำธุรกิจสร้างสรรค์ในท้องถิ่นนั้นเจ้าของธุรกิจจำเป็น “ต้องมีอิสระในการทำในปริมาณเท่าไหร่ก็ได้ตามศักยภาพที่ทำได้ แต่ต้องไม่เบียดเบียนตนเองจนเกินไป รวมทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมด้วย โดยรัฐควรสนับสนุนให้สอดคล้องกับกำลังของผู้ผลิตที่เขาอยากทำ ธุรกิจสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าหลักร้อยล้านพันล้านก็ได้ แค่คนๆ เดียว อาจจะทำแค่ตัวเองพออยู่ได้ สังคมชุมชนได้รับประโยชน์บ้างจากสิ่งที่เราทำ เช่น มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยก็ยิ่งดี ไม่จำเป็นว่าคนเดียวทำเป็นพันล้าน ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น คิดว่าควรมีการเกื้อหนุนกันระหว่างธุรกิจด้วย ตัวอย่างเช่น งานของตัวเองเป็นคนตัดเย็บ แต่เราใช้ผ้าจากอีกชุมชนหนึ่ง เขาก็จะมีรายได้จากเราในการที่เราไปซื้อผ้าจากเขา แล้วเราก็เอามาเพิ่มมูลค่าจากการออกแบบ แล้วเราก็มีรายได้จากการต่อยอดมูลค่านั้น มันเป็นรายได้หมุนเวียนในเครือข่าย”
จนในที่สุดก็จะเชื่อมร้อย “คุณค่าของเรามันไปเชื่อมกับคุณค่าของคนอื่นๆ แล้วมันกลายเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นมา เหมือนใยแมงมุมที่เชื่อมโยงกัน พอเราไปอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากเขา เขาก็มีรายได้ เราก็เอามาผลิตเป็นงานของเราที่เพิ่มมูลค่าขึ้นมาจากคุณค่าผลิตภัณฑ์นั้นต่อ เป็นเหมือนวงจรที่มันเชื่อมต่อกันอยู่ที่เขามีรายได้จากเรา เรามีรายได้จากเขา เป็นเหมือนธุรกิจที่พึ่งพากันเองจากเครือข่ายที่เรารู้จักกัน”
ดังนั้น “แม้ว่าการมีกองทุนทางการเงินเพื่อที่จะช่วยเหลือเรื่อง start up เป็นสิ่งที่ดี กองทุนเงินช่วยเหลือเพื่อที่จะไปเรียนรู้ แลกเปลี่ยนทักษะ การเสริมทักษะ เป็นสิ่งที่ดีและควรจะมี แต่ควรจะมีสิ่งที่เรียกว่าการให้อิสระด้วยในการที่จะให้คนมา start up ทำธุรกิจของตนเอง มีโอกาสใช้ความคิดของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปถูกกำหนด ตีกรอบด้วยกฎระเบียบอะไรบางอย่าง คุณทำแบบนั้นไม่ได้ คุณทำแบบนี้ไม่ได้ คิดว่าในเชิงของนโยบาย ทุนสนับสนุนน่าจะมาพร้อมกับการส่งเสริมการมีอิสรภาพทางความคิดด้วย”
นอกจากนั้นเธอยังมองว่า ภาครัฐควรส่งเสริมให้ธุรกิจในท้องถิ่นเติบโตมากขึ้น ด้วยการ “ส่งเสริมธุรกิจในท้องถิ่นไปพร้อมกับการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อาจจะทำเป็นอีเว้นท์ที่ให้ชุมชนจัดการตัวเอง ….เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ในชุมชนที่เขาทำอยู่มีโอกาสเปิดตัวเองสู่สาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่น และภายนอกมากขึ้น…”
อิ๋วมองว่า กิจกรรมขนาดเล็กเหล่านี้หากเชื่อมร้อยกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ อาจเป็นการช่วยเปิดพื้นที่และเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในประเทศและนานาชาติ ซึ่งน่าจะนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับการธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นต่อไป
