Skip to content
เสริมสุขภาวะที่เป็นธรรม สร้างพลังแรงงานนอกระบบ

“ตุงใยแมงมุมแมนดาลา” ถักทอวิถี เชื่อมชีวิตเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม

“ตุงใยแมงมุมแมนดาลา” ถักทอวิถี เชื่อมชีวิตเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม

“ตุงใยแมงมุม เปรียบเหมือนสิ่งที่เชื่อมให้ผู้คน  วัฒนธรรม และความสร้างสรรค์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นึกถึงตอนที่เราค่อยๆ พันด้ายเพื่อสร้างสรรค์งานที่เชื่อมมือและหัวใจของเรา”

เกษณี ซื่อรัมย์ หรือเก๋อธิบายความหมายของตุงใยแมงมุมที่เธอและสามีสร้างขึ้น เพราะสำหรับเธอแล้ว ตุงไม่ได้เป็นเพียงผลงานทางศิลปะเท่านั้น แต่เป็นทั้งสื่อที่เธอใช้เพื่อทำกิจกรรมกับเด็กและเยาวชน เป็นทั้งอาชีพซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าคนไทยและคนต่างชาติ และยังเป็นช่องทางที่เธอใช้เชื่อมโลกจากการจัดเวิร์กช็อปทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

ก่อนจะมาเป็น ตุงใยแมงมุมแมนดาลา

เกษณี ซื่อรัมย์ หรือเก๋ สะสมประสบการณ์การทำงานกับเด็กและเยาวชนที่เชื่อมโยงกับการอนุรักษ์ป่าและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่สมัยเรียนระดับอุดมศึกษา ได้ร่วมกระบวนการเรียนรู้กับ “กลุ่มเด็กรักป่า” ซึ่งเป็นหน่วยในการทำงานด้านเด็กและเยาวชนภายใต้โครงการป่าชุมชน(ปัจจุบัน คือ  สมาคมป่าชุมชนอีสาน)  และเมื่อเธอเข้ามาทำงานร่วมกับสมาคมป่าชุมชนอีสาน เธอก็มีหน้าที่ดูแล “งานเด็กเยาวชน”  ซึ่งทำให้เธอคุ้นเคยกับเด็ก เยาวชน และคุณครู ซึ่งต่อมาสิ่งเหล่านี้กลายเป็นต้นทุน ทั้งด้านการพัฒนาความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อมโยงกับงานศิลปะและก่อให้เกิดทักษะสำคัญทั้งในด้านแนวคิด กระบวนการทำงานกับเด็กและเยาวชน พัฒนาฝีมือในการจัดทำกิจกรรมโดยใช้ศิลปะเป็นสื่อกลาง

เมื่อมาเป็น ตุง

          เกษณีเล่าว่า เมื่อเธอต้องมาทำงานกับเด็กและเยาวชน เธอจึงพยายามหาเครื่องมือที่จะมาทำกิจกรรมกับเด็กๆ เธอจึงเอา “ตุง” มาใช้เป็นสื่อกลาง โดยเธอได้ปรับเอาไหมพรมมาใช้จากเดิมที่ใช้ด้ายเย็บผ้ามาพันตุง  เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลที่เธอสามารถสังเกตเห็นได้คือ “ตุง” สามารถสร้างสรรค์จินตนาการ ทำให้เด็กมีพัฒนาการ มีการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ได้ดีขึ้น มีความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง

เมื่อทำตุงร่วมกับเด็กและเยาวชนทั้งในและนอกชุมชนไปสักระยะหนึ่งแล้ว จึงมีคนแล้วมาถามเธอว่า “จะขายไหม” จากคำถามดังกล่าวจุดประกายให้เธอคิดว่า “ตุง” สามารถขายได้  

เมื่อเธอคิดจะขาย เธอจึงปรับปรุงคุณภาพของวัสดุเป็นอันดับแรก และเริ่มค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเองทางออนไลน์เพื่อค้นหาแบบ ลวดลาย และความต้องการของตลาด นอกจากนั้นเธอก็เริ่มออกตระเวนไปดูตุงตามชุมชนต่างๆ จากนั้นก็เอามาประยุกต์และปรับปรุงให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และตามความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ประกอบกับเกิดกระแสความต้องการตุงในท้องตลาด อันเป็นผลมาจากการโฆษณาที่มาถ่ายทำเกี่ยวกับตุงในงานประเพณีซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้ธุรกิจของเธอได้รับอานิสงส์ไปด้วย

ปัจจุบันเธอและสามีรับออเดอร์จากทั่วโลก รวมทั้งเธอยังเดินทางไปจัดเวิร์กชอปในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อสอนการทำตุงอีกด้วย

เมื่อ ตุงเชื่อมชุมชน และเชื่อมโลก

ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่า เก๋มีธุรกิจ “ตุงใยแมงมุม แมนดาลา” ซึ่งเก๋บอกว่า ในอดีตตุงแมงมุม จะถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมที่เชยมาก เพราะ “รูปแบบ สีสันก็จะเชยๆ” และมักจะไปอยู่ในงานวัด

แต่เมื่อเก๋ต้องการที่จะนำตุงมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน รวมไปถึงมีแนวคิดว่าจะพัฒนาเป็นอาชีพ เก๋จึงพยายาม “แกะ” ความเป็นมาของตุงซึ่งเมื่อนั่นเองทำให้เธอค้นพบว่า เกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน มีตุงเป็นของตนเอง แต่คนที่จะสืบทอดการทำตุงเริ่มที่จะหายไป พร้อมๆกับคุณค่าของตุงที่เริ่มจะจางหายไป เก๋จึงเริ่มรื้อฟื้นคุณค่าและพัฒนาตุงให้มีความทันสมัยและมีมูลค่าสูงขึ้น หรือ “ไม่เชย” ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของวัฒนธรรมซึ่งย่อมมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

จุดนี้เองทำให้เก๋เริ่มคิดว่า

“เราก็คิดว่าเราอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำเอามันกลับมาเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ความหมายใหม่ที่ไม่ใช่แค่งานวัฒนธรรมหรืองานประเพณี ให้มันเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วย มาดัดแปลง แปรรูปให้มันเป็นลวดลายที่น่าสนใจขึ้น ใส่สีสันให้มันโมเดิร์นขึ้น แล้วก็ชวนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทำร่วมกัน คนที่เขาสามารถไปต่อยอดทำเป็นรายได้ได้ เขาก็ทำขายเป็นล่ำเป็นสันเหมือนกัน”

อาจจะกล่าวได้ว่า เก๋เริ่มใช้ตุงเพื่อเชื่อมโยงตนเองเข้ากับทั้งเด็กและเยาวชนรวมไปถึงชุมชน และเครือข่าย และเป็นช่องทางในการหารายได้ของตนเองอีกด้วย เธอยกระดับตุงใยแมงมุม ตุงแมนดาลาของเธอโดยสร้างลวดลายใหม่ขึ้นมาจากของเดิมที่ชุมชนทำ นอกจากนั้นเธอยังประยุกต์ความรู้เรื่องการใช้สี การจับคู่สีซึ่งเธอจะคุมโทนให้สี “ไม่จัดจ้านมาก” และใช้สีตามความต้องการของลูกค้า หมายความว่า ลูกค้าบางคนก็จะมีแบบมาให้เธอ จากนั้น “เราก็ไปแกะ ไปคัด หรือว่าต้องการสีแบบไหน รูปแบบไหน เราก็ทำตามออเดอร์ได้”นอกจากนั้นเธอยังมีตุงที่ราคาสูง คือตุงที่ใช้สีธรรมชาติ ซึ่งเธอหาสีดังกล่าวมาจาก “เครือข่ายของเพื่อนๆ ที่ทำงานเรื่องนี้” เช่น กลุ่มที่ทำเรื่องผ้ามัดย้อม เรื่องด้ายสีธรรมชาติ เป็นต้น

นอกจากนั้นเนื่องจากตุงต้องใช้ไม้ไผ่ซึ่งเป็นของที่หาได้ง่ายภายในชุมชนสำหรับการขึ้นโครงของตุง ซึ่ง “ไม้ไผ่ก็มีอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว” ดังนั้นเก๋จึงสามารถซื้อจากชาวบ้านได้ซึ่งในปัจจุบันเมื่อชาวบ้านเริ่มรับรู้ว่าเก๋ทำธุรกิจนี้ เขาก็จะบอกให้ไปเอามาเก็บเอาไว้  หรืออาจจะแลกด้วยค่าขนม ค่าหมาก ค่าพลู

          ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้ว่าเธอจะมีรายได้วันละประมาณ 500 – 1,000 บาท และมีลูกค้าประจำบ้างแล้ว แต่เก๋ก็ยังไม่สามารถสร้างธุรกิจการทำตุงภายในชุมชนได้ เนื่องจากเป็นงานฝีมือ ทำให้ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อท้าทายของเธอ

ข้อท้าทายของตุงในฐานะสินค้าทางวัฒนธรรม

สำหรับเก๋แล้ว ข้อท้าทายแรก คือ ทำอย่างไรจึงจะมีพื้นที่ในการสืบต่อและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะหรือหัตถกรรมของชุมชน เธอคิดว่า หากเธอสามารถสร้าง “สตูดิโอเวิร์กช็อป” ภายในชุมชน เพื่อให้คนในชุมชน หรือคนนอกที่สนใจมาเรียนรู้ว่า ในหมู่บ้านมีคนทำตุง หรืองานหัตถกรรมอื่น เช่น ทำไม้กวาด การปั้น เธอเชื่อว่าหากมีสตูดิโอแบบดังกล่าวเกิดขึ้นมันจะกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้ได้ในที่สุด เช่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การใช้ตุงเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาการของเด็ก และการพัฒนารูปแบบลวดลายและคุณภาพของตุงให้มีมูลค่าสูงขึ้น

ข้อท้าทายประการที่สอง คือ การสื่อสารสู่สาธารณะเพื่อดึงดูดให้สาธารณชนสนใจและสามารถทำให้ตุงหรือสินค้าทางวัฒนธรรมมีมูลค่าและสามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเก๋มองว่าเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ทำงานแบบเธอ

บทสรุป สร้างสรรค์ตุง เป็นอาชีพเพื่อโอบอุ้มสังคม

          สำหรับเก๋แล้ว ตุงไม่ได้เป็นแค่แหล่งรายได้ส่วนตัว แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดกิจกรรมทางสังคมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโอบอุ้มสังคม

         แม้ว่าหลายครั้งการทำตุงใยแมงมุมถูกด้อยค่าจากคนภายนอกว่า เป็นแค่กิจกรรมเล็กน้อย แต่ในมุมมองของเก๋แล้ว ตุงมีความสำคัญ 4 ประการคือ หนึ่ง ตุงสามารถพัฒนาเป็นกิจกรรมพัฒนาการของเด็กเยาวชนได้ สอง ตุงทำให้เธอมีชีวิตรอดในช่วงโควิดเพราะสร้างรายได้เสริมกับกับเธออาทิตย์ละ1,000 บาท และสาม ตุงทำให้เธอเรียนรู้ว่า การสร้างความภูมิใจจากเรื่องเล็กน้อยซึ่งเธอมองเห็น “เวลาเราเอาตุงใยแมงมุมไปทำกิจกรรมกับเด็กหรือว่าผู้สูงอายุ เขามีความภูมิใจ เขาอยากเรียนรู้ รู้สึกสนุก เขารู้สึกว่าได้ของกลับบ้านไปด้วย” ประการสุดท้าย ตุงทำให้เก๋สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับเครือข่ายอื่น ที่อยู่นอกเหนือจากการเครือข่ายเดิมที่เธอเคยมีปฏิสัมพันธ์ เช่น จากแวดวงงานศิลปะ และผู้ประกอบการ เช่น ผู้ประกอบการร้านอาหารแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งเขาจะกลับมาบ้านทุกปี เขาจะมาสั่งตุงของเธอไปประดับร้าน อาจจะบอกได้ว่า “งานของเราเดินทางไปไกลกว่าชุมชนที่เราทำงานไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยภูมิใจ”

Share the Post: