การสืบสานแนวคิดและอาชีพของครอบครัวในภาคการเกษตรซึ่งมุ่งเน้นการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมีในชนบทนั้น เป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะถึงแม้ว่าในปัจจุบันกระแสการบริโภคสินค้าปลอดสารพิษได้รับความสนใจในวงกว้างมากยิ่งขึ้น แต่คนรุ่นใหม่เหล่านี้ ก็ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมายทั้งที่เป็นปัญหาตกค้างมาจากในอดีตและปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น ในการสืบสานฐานเศรษฐกิจซึ่งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขา ซึ่งเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนกลุ่มการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ (กลุ่มอารยะฟาร์ม) เป็นบทสะท้อนหนึ่งของสถานการณ์ดังกล่าว
กำเนิดของเครือข่ายฯ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 คุณสุมณฑา เหล่าชัย เริ่มจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้านในบ้านเกิดของตนเองคือ ตำบลวังหลวง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ต่อมาจึงเข้าร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกซึ่งเป็นเครือข่ายผู้บุกเบิกการทำนาธรรมชาติตามแบบของท่าน “มาซาโนบุ ฟุกุโอกะ” ชาวญี่ปุ่น โดยในการรวมกลุ่มดังกล่าวคุณสุมณฑาชักชวนคุณพรรณี เชษฐสิงห์ ซึ่งเป็นลูกสาวแกนนำของหมู่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) รวมกลุ่มชาวนาผลิตข้าวในโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนของเกษตรกรรายย่อยภูมินิเวศน์ร้อยเอ็ดภายใต้ชื่อ “กลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านโจด” ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงานระหว่างปี พ.ศ.2543 – 2557 นอกจากนั้นทั้งคู่ยังมีประสบการณ์การทำงาน “วิจัยไทบ้าน” ภายใต้งบประมาณของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ในการศึกษาปัญหาอนุรักษ์และฟื้นฟู “หนองบ่อ” การอนุรักษ์และฟื้นฟูพันธุ์ข้าวพื้นเมือง ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นต้นทุนสำคัญในด้านการสร้างความสัมพันธ์ภายในเครือข่าย และการเรียนรู้และเห็นความสำคัญของการใช้เครื่องมือในการค้นหาข้อมูล การทำความเข้าใจปัญหาชุมชน และถูกถ่ายทอดมายังลูกหลานในเรื่องของการคิดผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้นทั้งคู่ยังเคยมีประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวในประเด็นเกษตรกรรมทางเลือก (หรือเกษตรกรรมยั่งยืน) ทั้งในระดับชุมชน หรือในระดับประเทศในฐานะเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก รวมถึงมีบทบาทในเชิงนโยบายอีกด้วย
จากการเข้าร่วมกับเครือข่ายและกิจกรรมทางสังคม (social practices) ที่หลากหลาย เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า แกนนำทั้งคู่ และกลุ่มที่เกาะเกี่ยวกันมานั้น ผ่านการเคลื่อนไหวทางสังคม และกระบวนการเรียนรู้มาจากหลายเครือข่าย เช่น เครือข่ายอโศก เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน หรือแม้กระทั่งกับพรรคการเมือง ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ มีทักษะและมีความรู้หลายด้าน เช่น การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์กรเกษตรกร และการปรับเปลี่ยนการผลิต เกษตรผสมผสาน การอนุรักษ์พันธุ์ข้าว การแปรรูป การผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (Organic Thailand) รวมไปถึงการพัฒนากลุ่มให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นผ่านช่องทางและวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งทั้งสองคนเน้นย้ำกับผู้ศึกษาว่า พวกเขาเริ่มทำงานในพื้นที่โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 ประการ คือ 1) การแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีในการผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มน้ำยัง ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 2) ทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้น และ 3)เตรียมพร้อมสำหรับลูกหลานของตนเองซึ่งอาจจะต้องการกลับมาทำงานในพื้นที่
การส่งเสริมจากภาครัฐ
ดังนั้นเมื่อกรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนในปี พ.ศ. 2558 คุณสุมณฑาจึงสามารถนำเอาเครือข่ายมาจดทะเบียนได้ทันทีเนื่องจาก “เรามีกลุ่มอนุรักษ์พันธุ์ข้าวพื้นบ้านย้อนกลับไป 20 ปี มีการบันทึกการประชุมไว้” ในนามของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์ม และเนื่องจากวิสาหกิจดังกล่าวสามารถแสดงหลักฐานว่า ดำเนินการมามากกว่า 2 ปี ซึ่งเข้าเกณฑ์วิสาหกิจก้าวหน้า ที่จะได้รับการสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ และเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนในการก่อสร้างโรงสีงบประมาณ 2.3 ล้านบาท หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี พ.ศ.2559 วิสาหกิจฯ ได้การสนับสนุนเครื่องจักรในการทำโรงเเป้งจากเกษตรจังหวัด โดยมีมูลค่าเครื่อง 800,000 บาท ในปี พ.ศ.2560 วิสาหกิจก็ได้โรงบดผงชง
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ แต่เนื่องจากไม่มีแหล่งทุนใดที่ให้เงินแบบเบ็ดเสร็จทั้งกระบวนการ และต้องทำตามแบบที่ราชการกำหนด ทำให้คุณสุมณฑาต้องมีภาระหนี้สินจากการลงทุน เช่น เธอต้องไปกู้เงินมาหลายล้านบาทเป็นค่าที่ดินและค่าถมที่ดินสำหรับการก่อตั้งโรงสี ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการวิสาหกิจมาจัดตั้งบริษัทวิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์ม เนื่องจากเกิด ความเสี่ยงในการอยู่รอดของธุรกิจที่เราไปกู้เงินมา ถือว่าเสี่ยง เพราะมีรายได้ แต่ยังไม่เกิดจุดคุ้มทุนแบบอุตสาหกรรมได้” นอกจากนั้น พวกเขายังปรับโครงสร้างการบริหารจัดการวิสาหกิจโดยรวมอำนาจการตัดสินใจเอาไว้ที่ 3 คน คือ คุณสุมณฑา คุณพรรณีและคุณอาญาสิทธิ์ (ลูกชาย) แต่ก็ยังพยายามยึดโยงกับสมาชิกเดิมโดยการเปิดให้สมาชิกสามารถซื้อหุ้นในกิจการซึ่งมีราคาหุ้นละ 100 บาท ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ 3,000,000 บาท และมีอัตราการปันผลหุ้น 8% ต่อปี โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในทุกปี

การดำเนินงานของวิสาหกิจ หลังจากการปรับตัว
วิสาหกิจฯ เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการผลิต และแปรรูปผ่านเกษตรกรต้นแบบ ในรูปแบบเครือข่าย 5 เครือข่าย คือ 1) เครือข่ายวิสาหกิจอำเภออาจสามารถ 2) เครือข่ายวิสาหกิจอำเภอจตุรพักตรพิมาน 3) เครือข่ายวิสาหกิจอำเภอเมยวดี 4) เครือข่ายวิสาหกิจอำเภอเสลภูมิ และ 5)เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์มซึ่งเป็นกลุ่มหลัก ทั้งนี้เครือข่ายทั้ง 5 จดทะเบียนในนามเครือข่ายกับจังหวัดร้อยเอ็ด ทำให้ข้าราชการของจังหวัดเข้ามามีบทบาทในการตรวจคุณภาพของสินค้า และจะมีการจัดประชุมในระดับจังหวัดอย่างสม่ำเสมอโดยที่จะมีข้าราชการจากจังหวัดมาเป็นตัวกลางในการจัดประชุม ร่วมกับแกนนำของแต่ละเครือข่าย เครือข่ายละ 2 คน คือ ประธานและเลขาฯ นอกจากนั้นเครือข่ายดังกล่าวยังเกื้อกูลกันในกรณีที่สมาชิกมีข้าวเกิน ก็จะแจ้งมายังเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์ม เพื่อร่วมพิจารณาว่ามีอะไรที่จะสามารถขายได้บ้าง และมีจำนวนกี่ตัน
รับมือกับปัญหาและสืบสานเครือข่าย
ในระยะแรกของการดำเนินงานทางการขายและการตลาดของเครือข่าย จะจำกัดอยู่เพียงการขายตามกิจกรรมงานจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการซึ่งหน่วยงานราชการหรือองค์กรภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมจัดขึ้น จนกระทั่งใน พ.ศ.2561 เมื่อคุณอาญาสิทธิ์ เหล่าชัย (ลูกชายของคุณสุมณฑา) เริ่มเข้ามามีบทบาท เช่น การส่งเสริมการผลิต การให้ความรู้เกษตรกรในการผลิต และเข้ามามีบทบาทหลักในการรับซื้อข้าวเปลือก และมารับผิดชอบการตลาดให้กลุ่ม คุณอาญาสิทธิ์จึงปรับปรุงการตลาดของกลุ่มโดยเปิดตลาดการขายออนไลน์และเปิดให้บริการส่งถึงบ้าน หน่วยงานและร้านค้า (โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านอาหาร ร้านขายของชำ) โดยมุ่งเน้นการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง และการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค ทำให้สามารถสร้างลูกค้าประจำของเครือข่ายได้อย่างต่อเนื่อง


นอกจากนั้นยังปรับปรุงการรับซื้อ โดยที่วิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์มจะรับซื้อข้าวเปลือกและข้าวสี จากสมาชิกในราคาที่เเพงกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 3 บาท เช่น หากตลาดซื้อ 15,000 บาท วิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์มซื้อ 18,000 บาท และจะมีการปันผล 8% ต่อปี ในกับสมาชิกที่ถือหุ้น นอกจากธุรกิจข้าวแล้ว วิสาหกิจชุมชนอารยะฟาร์มยังประกอบธุรกิจในเรื่องการรับจ้างสีข้าวให้กับสมาชิก รับจ้างบดแป้ง และยังเปิดสอนการแปรรูปอาหารจากแป้งข้าว เช่น ขนมปัง รวมไปถึงการขายสินค้านอกจากข้าวอินทรีย์ซึ่งเป็นผลผลิตจากโรงผลิตและสมาชิกของเครือข่าย เช่น เต้าหู้ ขนมปัง ถั่วบด 5 สี แป้งข้าวเจ้า เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรแก่คนทั่วไปอีกด้วย
ทั้งนี้การดำเนินการเกือบทั้งหมด ถูกผลักดันโดยคนรุ่นใหม่ซึ่งเข้ามามีบทบาทหลักในการสืบสานกิจการงานของเครือข่ายคือ คุณอาญาสิทธิ์ เหล่าชัย(ลูกชายของคุณสุมณฑา อาจศัตรู) โดยในระยะแรก(ช่วงปี พ.ศ.2560) เมื่อคุณอาญาสิทธิ์กลับมาจากการทำงานต่างถิ่นนั้น คุณพรรณีมีบทบาทในการสอนงานอาญาสิทธิ์ เริ่มจากพาไปเรียนรู้แปลงปลูกเเละกระบวนการสีข้าว ซึ่งในช่วงนี้คุณอาญาสิทธิ์เล่าว่าเป็นช่วงที่เขาต้องปรับตัวทั้งในเรื่องของอาชีพ และเรื่องการกลับเข้ามาอยู่กลับครอบครัวเพราะเขาออกจากบ้านไปนับสิบปี “การปรับตัวยากที่สุด คือต้องเรียนรู้เยอะมาก เพราะการเรียนรู้มันยาก ครูคือแม่ เป็นคนที่เถียงด้วยทุกวัน แนวความคิดไม่ตรงกัน เวลาแม่พูดจึงทำใจฟังยาก เถียงกันไปก็ไปลองทำ เเละมันก็จริงตามแม่ เราจึงยอมเเพ้เเม่ และค่อยๆเรียนรู้ไป”

นอกจากนั้น เขายังพยายามแสวงหาแนวทางในการทำงานของตนเองผ่านการทดลองทำและหาวิธีการใหม่ๆในการทำงาน เช่น การปลูกข้าวเอง เพื่อการเก็บรายละเอียดพื้นฐานต่างๆ จนกระทั่งเขาเข้าไปอยู่ในกลุ่ม Young Smart Farmer ของจังหวัดร้อยเอ็ดและกลายเป็นประธานของกลุ่มดังกล่าว ซึ่งคุณสุมณฑา ตั้งข้อสังเกตจากการทำงานของกลุ่มคนดังกล่าวว่า “คนรุ่นใหม่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า เพราะเขาจะไม่ได้นึกถึงค่าเดินทาง หากเป็นประเด็นที่เขาสนใจ เขาจะมาเลย ไม่ได้พูดถึงค่าเดินทางต่างๆ” ทำให้คุณอาญาสิทธิ์สามารถสร้างกิจกรรมในการทำงานร่วมกับคนกลุ่มดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง
เขายังตั้งข้อสังเกตเรื่องความแตกต่างระหว่างการทำงานของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า ผ่านตัวอย่างการชวนคนมาผลิตข้าวอินทรีย์ เขาเปรียบเทียบว่า หากไปคุยกับชาวบ้าน 100 คน อาจจะได้ความร่วมมือ 3-5 คน แต่หากไปคุยกับเพื่อนๆ Young Smart 10 คน ก็ได้ความร่วมมือมาทั้ง 3-5 คนเช่นเดียวกัน เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่มักจะมีแนวคิดที่คล้ายกัน
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ในช่วง “เกาะเกี่ยว” จะพบว่าคุณอาญาสิทธิ์มีบทบาทในการนำเอาองค์ความรู้สมัยใหม่เข้ามาช่วยหลายแง่มุม ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
- การช่วยด้านการผลิต ตั้งแต่การปรับปรุงดิน ตลอดทั้งกระบวนการของการผลิต รวมไปถึงการส่งเสริมและตรวจมาตรฐานของเกษตรอินทรีย์จนสามารถเป็นวิทยากร และสามารถขยายผลได้
- การเข้ามาบริหารจัดการธุรกิจ
2.1 การเข้ามาบริหารจัดการโรงสี และการดูแลเครื่องจักร
2.2 การเข้ามาบริหารจัดการระบบการเงินและบัญชี - การเข้ามาบริหารจัดการระบบตลาด
3.1 ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยคำนึงถึงผู้บริโภค
3.2 การเปิดช่องทางการตลาดแบบใหม่ เช่น live สด ไปส่งเองที่ร้านค้า หรือโรงเรียนรุ่งอรุณ (B to C/ B to B) - การเชื่อมต่อเครือข่ายเดิมเข้ากับเครือข่าย Young Smart Farmer

มาลี สุปันตี
ศิริอาภา ผิวลา
สถาบันการจัดการความรู้เพื่อเกษตรกรรมยั่งยืนฯ
จิตราภรณ์ สมยานนทนากุล
วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม