Skip to content
เสริมสุขภาวะที่เป็นธรรม สร้างพลังแรงงานนอกระบบ

ลูกจ้างทำงานบ้านควรได้รับหลักประกันทางสังคม​

ลูกจ้างทำงานบ้านควรได้รับหลักประกันทางสังคม​

ลูกจ้างทำงานบ้านควรได้รับหลักประกันทางสังคม


บทความสัมภาษณ์คุณพุทธิณี โกพัฒน์ตา
Homenet Thailand 24 กุมภาพันธ์ 2566

          การปิดเมืองในช่วงการระบาดโควิด19 ทำให้คนตกงานจำนวนมาก โดยเฉพาะคนทำงานอาชีพอิสระ และธุรกิจการบริการขนาดเล็ก “ลูกจ้างทำงานบ้าน” เป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ หรือ Homenet Thailand เข้าไปให้การช่วยเหลืออย่างจริงจังจนผ่านพ้นวิกฤต คุณพุทธิณี โกพัฒน์ตา ผู้ประสานงานเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย บอกเล่าเรื่องราวปัญหาของกลุ่มลูกจ้างทำงานบ้าน แรงงานอีกกลุ่มซึ่งถูกละเลยไม่ได้รับการสิทธิการคุ้มครองจากรัฐ

ลูกจ้างทำงานบ้าน อาชีพที่ขาดหลักประกัน

“เมื่อเกิดการระบาดโควิด19 ลูกจ้างทำงานบ้านตกงาน จากหลายกรณี คือ หนึ่ง นายจ้างทำงานที่บ้าน เพราะมาตรการ Work from home สอง นายจ้างลดวันทำงาน ลดชั่วโมงทำงาน หรือเลิกจ้าง นายจ้างบอกล่วงหน้าไม่กี่วัน สาม ไม่ได้รับค่าชดเชยการว่างงาน แล้วแต่นายจ้างเป็นราย ๆ ไป บางบ้านให้ของชดเชยการเลิกจ้าง เช่น กระเป๋าแพง ๆ”

ปี 2558 ลูกจ้างทำงานบ้านมีประมาณ 2 ล้านคน คาดว่าลดจำนวนลงมาก หลังโควิด19 ปัญหาใหญ่คือ ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ไม่มีอะไรรองรับการว่างงาน ตกงาน กระทบครอบครัว และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

“แม่บ้านคนหนึ่งทำงานมานานหลายปี นายจ้างย้ายกลับประเทศเมื่อเกิดโควิด19 จึงถูกเลิกจ้าง แต่เธอทำงานผูกพันกับครอบครัวนายจ้างมานานมาก หมอบอกว่าเธอป่วยซึมเศร้า เพราะรู้สึกโดดเดี่ยว จากการถูกทิ้งจากนายจ้าง แม้ว่าจะยังมีเพื่อน มีครอบครัวก็ตาม แม่บ้านอีกคน นายจ้างสั่งห้ามออกนอกบ้าน เพราะเกรงว่าจะแม่บ้านจะพาเชื้อโควิด19 เข้าบ้าน มาตรการSocial distancing ทำให้แม่บ้านเครียดในการทำงานในบ้านของนายจ้าง”

ลูกจ้างทำงานบ้าน อาชีพที่ขาดหลักประกัน

          “เมื่อเกิดการระบาดโควิด19 ลูกจ้างทำงานบ้านตกงาน จากหลายกรณี คือ หนึ่ง นายจ้างทำงานที่บ้าน เพราะมาตรการ Work from home สอง นายจ้างลดวันทำงาน ลดชั่วโมงทำงาน หรือเลิกจ้าง นายจ้างบอกล่วงหน้าไม่กี่วัน สาม ไม่ได้รับค่าชดเชยการว่างงาน แล้วแต่นายจ้างเป็นราย ๆ ไป บางบ้านให้ของชดเชยการเลิกจ้าง เช่น กระเป๋าแพง ๆ”

          ปี 2558 ลูกจ้างทำงานบ้านมีประมาณ 2 ล้านคน คาดว่าลดจำนวนลงมาก หลังโควิด19 ปัญหาใหญ่คือ ไม่มีหลักประกันอะไรเลย ไม่มีอะไรรองรับการว่างงาน ตกงาน กระทบครอบครัว และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

        “แม่บ้านคนหนึ่งทำงานมานานหลายปี นายจ้างย้ายกลับประเทศเมื่อเกิดโควิด19 จึงถูกเลิกจ้าง แต่เธอทำงานผูกพันกับครอบครัวนายจ้างมานานมาก หมอบอกว่าเธอป่วยซึมเศร้า เพราะรู้สึกโดดเดี่ยว จากการถูกทิ้งจากนายจ้าง แม้ว่าจะยังมีเพื่อน มีครอบครัวก็ตาม แม่บ้านอีกคน นายจ้างสั่งห้ามออกนอกบ้าน เพราะเกรงว่าจะแม่บ้านจะพาเชื้อโควิด19 เข้าบ้าน มาตรการSocial distancing ทำให้แม่บ้านเครียดในการทำงานในบ้านของนายจ้าง”

เมื่อบ้านคือโรงงานของนายจ้าง ชั่วโมงทำงานจึงไม่มีจำกัด

          รายงานการสำรวจโดย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization -ILO) เกี่ยวกับลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย และมาเลเซีย พบว่าชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทยคือ 13.5 ชั่วโมงต่อวัน และในประเทศมาเลเซียคือ 15 ชั่วโมง ประเทศบรูไน 15 ชั่วโมง และประเทศฟิลิปปินส์ 13 ชั่วโมง

 

          “การทำงานในบ้าน ที่พักอาศัย ในครอบครัวของนายจ้าง ซึ่งเป็นที่ส่วนบุคคล หากถูกละเมิด มักไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือการคุ้มครอง เช่น ไม่มีวันลา ทำงานเกิน 10 ชั่วโมง ไม่มีเวลาพัก ทำทุกอย่างแล้วแต่นายจ้างต้องการ มีบางกรณีลูกจ้างรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่กับนายจ้างโดยลำพัง ด้วยคำพูด หรือท่าทีก็ตาม บางครั้งลูกจ้างไม่รู้ว่าเขาถูกละเมิดสิทธิ เขาเพียงแต่ไม่ชอบ ที่นายจ้างเคยทำ”

          หากนายจ้างตำหนิ ลงโทษ หรือไม่พอใจ ลูกจ้างจะต้องอดทน เลี่ยงการโต้แย้ง เพราะต้องการรายได้เลี้ยงชีพ ลูกจ้างทำงานบ้านไม่มีทางเลือกเปลี่ยนอาชีพมากนัก และหากอายุมาก ย่อมเปลี่ยนนายจ้างยากมากขึ้นอีก

          “ปัญหาสำคัญ คือนายจ้างต้องการจ้างคนอายุน้อย ไม่เกิน 40 ปี ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน ดูแลเด็ก และผู้สูงอายุ แต่ลูกจ้างทำงานบ้านโดยส่วนใหญ่ยังต้องการรายได้ จึงอดทนทำงานแม้จะมีอายุเกิน 60 ปี”

 

ค่าจ้างแล้วแต่นายจ้างกำหนด ไม่ได้อิงค่าแรงขั้นต่ำ

          คนที่ช่วยทำงานในบ้านในอดีตที่เราเรียกว่า แม่บ้าน พี่เลี้ยง คนรับใช้ หรือแจ๋ว ซึ่งปัจจุบัน คือลูกจ้างทำงานบ้าน คืออาชีพ ๆหนึ่ง ซึ่งควรได้รับค่าจ้างขั้นต่ำตามกฎหมาย แต่สถานการณ์จริง คือ แล้วแต่นายจ้างกำหนด ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวไทยจำนวนมากเปลี่ยนแปลงเป็นครอบครัวเดี่ยว ดังนั้นจึงต้องการลูกจ้างทำงานบ้านมาดูแลเด็ก รวมทั้งดูแลผู้สูงอายุในบ้านที่อยู่กันเพียงลำพัง

          “หากเป็นคนใหม่ จ้างมาดูแลผู้สูงอายุ ไม่ต้องทำงานบ้าน นายจ้างต้องสอนงาน จะได้ค่าจ้าง 9,000 บาท แต่หากพูดภาษาอังกฤษได้ ทำงานบ้าน และทำอาหารด้วยได้ค่าจ้างถึง 25,000 บาท”

 

ทำไมอาชีพลูกจ้างทำงานบ้านไม่ได้สิทธิประกันสังคม

          มาตรา 33 ให้สิทธิเฉพาะลูกจ้างในสถานประกอบการเท่านั้น ยกเว้นลูกจ้างทำงานบ้าน ประกันสังคมยกเว้นลูกจ้างทำงานบ้านที่มิได้ประกอบธุรกิจ เพราะสถานที่ทำงานเป็นบ้านพักอาศัยของนายจ้าง จึงไม่เข้าข่ายเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 Homenet Thailand มีการทำงานกับเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย มานานกว่า 10 ปี รณรงค์นโยบายให้ลูกจ้างทำงานบ้านเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งจะทำให้ได้สิทธิประโยชน์ 7 ประเภท ได้แก่ ชราภาพ ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตร รักษาพยาบาล ว่างงาน และสงเคราะห์บุตร ทั้งนี้ ลูกจ้างทำงานบ้านประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิง จะได้รับประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร ได้รับเงินสงเคราะห์แบบเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท ตั้งแต่บุตรมีอายุถึง 6 ปี เงื่อนไขคือจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และกรณีคลอดบุตร ได้รับเงิน 15,000 บาท ต่อบุตร 1 คน เงื่อนไขคือจ่ายเงินสมทบแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน

 

          ทุกวันนี้ ชีวิตลูกจ้างทำงานบ้านแล้วแต่นายจ้างแต่ละคน จะให้ค่าจ้างที่เหมาะสม หรือมีความเมตตาในการอยู่ร่วมกัน ทั้ง ๆที่เป็นกำลังสำคัญแบ่งเบาภาระของนายจ้าง แต่ไม่มีหลักประกันใด ๆ ไม่ได้รับการคุ้มครองสุขภาพ ดังนั้น เราจึงควรสนับสนุนให้ลูกจ้างทำงานบ้านได้รับสิทธิเข้าถึงหลักประกันทางสังคมอย่างเท่าเทียมกับแรงงานอื่นๆ คือการเข้าเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม 2533

Share the Post: