เมื่อต้อม หรือ อรรถพล สิงห์สา เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาก็ทำงานกับองค์กรภาคประชาชน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2562 จึงตัดสินใจกลับบ้าน ตำบลเขวาไร่ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคามและสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเขาประสบความสำเร็จในการแข่งขันทางการเมืองด้วยคะแนนจากชาวบ้านอย่างท้วมท้น “…ชนิดขาดปั๊ดเลยที่เดียวเชียว…” ต้อมบอกกับพวกเรา และเสริมว่าสาเหตุที่เขาได้คะแนนเยอะเพราะว่า “ชาวบ้านอยากเปลี่ยนแปลง…”


ปัจจุบันต้อมจึงเป็น “ส.อบต.คนรุ่นใหม่” ที่มีอาชีพหลักคือการเกษตร เพราะเงินเดือนของ ส.อบต.ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ เมื่อเขาต้องมาทำงานทางนโยบายและการลงมือเป็นเกษตรกรด้วยตัวเอง จึงทำให้เขาเข้าใจว่า “ต้นทุน” เป็นโจทย์สำคัญของในการพัฒนาพื้นที่ เพราะในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น “บริษัทใหญ่และรัฐบาลส่วนกลางเขาสร้างกลไกกีดกันท้องถิ่นท้องที่ไม่ให้สามารถเข้าถึงและใช้ทรัพยากรในการพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นให้เข้มแข็ง”
ณ จุดนี้เองที่ต้อมจึงเริ่มสร้างต้นทุนด้านเครือข่ายหรือการรวมกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาในพื้นที่บ้านเกิดเมืองนอนโดยเฉพาะการพัฒนาภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและความอยู่ดีมีสุขของพื้นที่
เมื่อต้อมได้โอกาสเข้าร่วม “โครงการการเสริมพลังและความเข้มแข็งให้แรงงานนอกระบบโดยการมีส่วนร่วมโดยคนรุ่นใหม่” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคมและสถาบันการจัดการความรู้เกษตรกรรมยั่งยืนภาคอีสาน เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการเสาะหาคนที่มีจิตใจเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือ พชร เกศิณี และอังสุมารินทร์ คนรุ่นใหม่ที่กลับบ้าน
พชร เคยขายปุ๋ย และเคยมีรายได้จากการประมูลโครงการของรัฐ อย่างไรก็ตามในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด -19 ทำให้เขาต้องนำเงินสำรองมาใช้ เขาจึงหันมาศึกษาการเลี้ยงวัว ซึ่งเขาพบว่าอาหารวัวเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงวัวสูง ดังนั้น เขาจึงศึกษาการทำอาหารวัวด้วยตัวเอง โดยใช้วัตถุดิบใกล้ตัว แต่ก็ต้องเจอปัญหาใหม่คือ การขาดช่องทางการการเข้าถึงวัตถุดิบราคาถูก นอกจากนั้นเมื่อเลี้ยงวัวไปสักระยะ พชรก็พบว่า การเลี้ยงวัวของเขายังต้องการองค์ความรู้ที่เป็นสากลอีกจำนวนมากเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถต่อสู้ในตลาดได้
นอกจากพชรแล้ว ต้อมยังได้รู้จักกับ เกศิณี ซึ่งเคยทำงานในการควบคุมคุณภาพสินค้าการเกษตรมา และตัดสินใจลาออกจากบริษัทใหญ่เพื่อกลับบ้านมาดูแลพ่อแม่ที่เริ่มชรา และตอนนี้เธอก็เหมือนจะเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว เดิมที่บ้านของเกศินีเป็นสวนมะม่วงขนาดใหญ่ทำการแปรรูปในฐานะวิสาหกิจ เช่นเดียวกับพชร ธุรกิจของเกศินีได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้การส่งออกยากขึ้น จึงทำให้ครอบครัวของเธอต้องลดการปลูกมะม่วงลง เมื่อต้องลดแปลงปลูกมะม่วง ครอบครัวของเธอจึงต้องหาธุรกิจใหม่ เธอจึงเริ่มสนใจที่จะเลี้ยงวัวขุน เพราะมองว่าวัวเป็นช่องทางที่ดีเพราะก็เป็นเนื้อที่มีการบริโภคทั้งในและต่างประเทศและมีต้นทุนในพื้นที่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอเป็นห่วงในตอนนี้คือ ขนาดของตลาดที่ยังเล็กอยู่ ทำให้เขาอยากให้คนในหมู่บ้านมีตลาดร่วมกัน หรือมีการขยายตลาดใหม่
นอกจากพชร และเกศิณีแล้ว ทีมของต้อมยังมีอังสุมารินทร์ ซึ่งมีต้นทุนชีวิตสำคัญนอกจากจะมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอาหารแล้วเธอยังออกมาเปิดบริษัทขนส่งกับสามีทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้เธอมีทักษะการทำบัญชี เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เธอก็เห็นว่าผลผลิตการเกษตรภายในครอบครัวของเธอมีอยู่มากมายและน่าจะนำเอามาแปรรูป ซึ่งแม้ว่าเธอสามารถแปรรูปได้แต่ก็ยังไม่มีมาตรฐานเท่าที่ควร นอกจากนั้นเธอยังมองเห็นว่า ในสถานการณ์จริงแล้ว สามารถใช้แรงงานสูงอายุในชุมชนมาใช้ในการแปรรูป และหากว่าสามารถขยายตลาดได้ ก็อาจจะนำไปสู่การเปิดโรงงานหรือ OTOP ขนาดเล็ก เพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปขายยังนอกพื้นที่
เมื่อต้อมรู้จักทั้งสามคนนี้ เขาพยายามทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นตัวกลางเชื่อมร้อยเครือข่ายคนเหล่านี้เข้าด้วยกัน เช่น พาไปแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเครือข่ายนักพัฒนา ที่สำคัญพวกเขายังพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อจัดตั้งวิสาหกิจชุมขน และพยายามที่จะพัฒนาการเลี้ยงวัวและผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ให้ได้มาตรฐานอีกด้วย
ต้อมดำเนินการทุกอย่างด้วยความตั้งใจที่จะรวบรวมคนที่มีความต้องการที่จะพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง เพราะ “เค้ากำลังสร้างสะพานความฝันในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่บ้านเกิดให้มันเป็นจริงให้ได้”


บทความโดย อาสาคืนถิ่น ภายใต้โครงการส่งเสริมสุขภาวะแรงงานนอกระบบโดย มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)